เทคนิคการเสียบยอดเกอิชาฉบับ “พ่อถาวร”
- coffeetravelermag
- 1 day ago
- 2 min read

ขึ้นชื่อว่ากาแฟพิเศษ ย่อมหมายถึงกาแฟที่มีความพิเศษมาตั้งแต่ขั้นตอนการปลูก โดยเกษตรกรผู้ปลูกจะคัดเลือกกาแฟสายพันธุ์ดี เพื่อนำมาเพาะปลูกอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้ได้เมล็ดกาแฟเกรด Specialty ที่มีรสชาติและกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ แต่หลายคนอาจไม่ทราบว่า การปลูกกาแฟสายพันธุ์พิเศษสายพันธุ์หนึ่ง อาจต้องใช้เวลานานราว 4 - 5 ปี กว่าจะได้ต้นกาแฟรุ่นแรก โดยต้นกาแฟรุ่นแรกเหล่านี้ จะยังไม่ถูกเก็บเกี่ยวเพื่อนำมาทำ Process แต่จะถูกนำไปเพาะและขยายพันธุ์เพื่อสร้างรุ่นต่อไป ซึ่งกระบวนการนี้ต้องใช้ความอดทนอย่างมาก กว่ากาแฟรุ่นที่สองจะเติบโต จนสามารถพัฒนารสชาติที่คงที่และสม่ำเสมอได้
โดยรวมแล้ว วงจรการเพาะปลูกตามธรรมชาติของกาแฟพิเศษ อาจต้องใช้เวลาอย่างน้อย 6 - 8 ปี จึงจะสามารถผลิตกาแฟคุณภาพสูงได้อย่างแท้จริง ดังนั้น สำหรับเกษตรกรที่ต้องการเร่งกระบวนการปลูกกาแฟ เทคนิคการเสียบกิ่งพันธุ์ จึงถือเป็นอีกเส้นทางลัดหนึ่ง ด้วยการต่อกิ่งกาแฟที่โตเต็มที่เข้ากับต้นตอที่แข็งแรง ซึ่งวิธีนี้จะช่วยลดระยะเวลาในการเก็บเกี่ยวได้ นอกจากนี้ ยังช่วยรักษาคุณสมบัติที่ต้องการ เช่น ความสม่ำเสมอของรสชาติ และความต้านทานโรคได้อีกด้วย

แม้การเสียบกิ่งจะไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเรามักจะพบเทคนิคนี้ในการปลูกผลไม้อยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่ใช่กับการปลูกกาแฟ โดยเฉพาะกับกาแฟสายพันธุ์พิเศษ จึงเกิดคำถามขึ้นมาว่า วิธีนี้จะใช้ได้ผลจริงหรือไม่? วันนี้เราจะเปิดเผยเทคนิคของทางลัดนี้ ผ่านเรื่องเล่าของคุณพ่อถาวร (ถาวร จิรนันทนุกุล) แห่ง Lao Tua Coffee Farm & Home Stay ผู้เปลี่ยนสวนกาแฟ Catimor ให้กลายเป็นสวน “เกอิชา” โดยใช้เทคนิคการเสียบกิ่ง ภายในระยะเวลาเพียง 3 ปีเท่านั้น
“กาแฟของมณีพฤกษ์ในยุคแรก ๆ จะมาในช่วงปี 2537 พ่อเป็นเจ้าแรก ๆ ที่เอากาแฟที่ได้จากการสนับสนุนจากภาครัฐมาปลูกในมณีพฤกษ์ ตอนนั้นเป็น Catimor หลังจากนั้นในช่วงปี 2540 เคเลบก็เข้ามา ด้วยความที่เขาเป็นมิชชันนารีและมีความรู้เกี่ยวกับกาแฟ เขาจึงเอากาแฟสายพันธุ์ดี ๆ มาปลูกที่มณีพฤกษ์ และกระจายให้พวกพ่อ ๆ ได้ลองปลูกกัน เป็นเกอิชาปานามา ซึ่งมีอยู่ไม่มาก พ่อก็เลยคิดว่าจะทำอย่างไรให้เกอิชามันเยอะขึ้น แล้วพอดีพ่อเคยไปดูงานที่เชียงใหม่ และได้เห็นการขยายพืชพันธุ์โดยวิธีการเสียบยอดมะม่วง ก็เลยคิดว่า ถ้ามะม่วงมันเสียบยอดได้ กาแฟก็น่าจะทำได้เหมือนกัน พ่อก็เลยเปลี่ยนเพราะเกอิชามันราคาสูงกว่า แต่จะตัด Catimor ทิ้งเลยมันก็น่าเสียดาย อีกอย่าง Catimor มันก็อายุเยอะ เพราะปลูกมาตั้งแต่ปี 2537 มันหาสารอาหารเก่งอยู่แล้ว เหมาะจะใช้เป็นต้นตอ พ่อก็เลยเอายอดของเกอิชาไปเสียบกับต้นตอ Catimor ซึ่งในช่วงระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา พ่อทดลองแล้วทดลองอีก จนประสบความสำเร็จ ยอดเกอิชาไม่ตาย ซึ่งถือว่าการทดลองสัมฤทธิ์ผลและพอมันสำเร็จ พ่อก็ขยายไปให้มันเยอะขึ้น”
คุณพ่อถาวรกล่าวเสริมว่า การเสียบยอดนี้มีข้อดีอีกหนึ่งอย่าง คือกาแฟจะมีโอกาสกลายพันธุ์ได้น้อยกว่าการเพาะเมล็ด โดยเรื่องนี้ได้รับการพิสูจน์ด้วยรางวัล Rank3 หมวดฮันนี SCATH202 ที่พ่อถาวรได้ใช้เกอิชาที่ได้จากการเสียบกิ่งส่งเกือบทั้งหมด ซึ่งพ่อกล่าวว่า รสชาติของเกอิชาล็อตนั้น มีคาแรกเตอร์แบบเดียวกับเกอิชาน่านในเลเวลเดียวกัน ซึ่งนั่นแสดงว่า เกอิชาที่เกิดจากการเสียบกิ่งไม่ได้เกิดการกลายพันธุ์ จึงสามารถรักษารสชาติและคงเอกลักษณ์เอาไว้ได้ในขณะที่การเพาะเมล็ด มักจะพบกับปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้มากกว่า เช่น แมลง ที่บางครั้งอาจจะบินไปเอาเกสรของ Catimor มาผสมกับเกอิชา เพราะฉะนั้นเวลาเอาเมล็ดไปเพาะ โอกาสกลายพันธุ์จึงสูงกว่าการเสียบยอดนั่นเอง
“เราต้องการลดจำนวน Catimor และเพิ่มจำนวนเกอิชาให้ไวที่สุด เพราะถ้าใช้เมล็ดเพาะมันใช้เวลานาน อย่างน้อยก็ 4 - 5 ปี แต่ด้วยความที่เกอิชาไม่ใช่พืชพื้นถิ่นของที่นี่ ถ้าปลูก 100 ต้น ปีต่อไปมันจะตายสัก 30 - 40 ต้น กว่าจะออกลูกมันก็ตายเยอะ บางครั้งออกลูกมาแล้วดันเจอว่ากลายพันธุ์อีก ซึ่งมันทำให้เกษตรกรเสียเวลามาก สิ่งที่พ่อทำอยู่มันคือการร่นระยะเวลา จากที่ใช้เวลา 4 - 5 ปี ก็ลดลงเหลือแค่ 2 ปี”

" เราต้องการลดจำนวน Catimor และเพิ่มจำนวนเกอิชาให้ไวที่สุด เพราะถ้าใช้เมล็ดเพาะมันใช้เวลานาน อย่างน้อยก็ 4 - 5 ปี สิ่งที่พ่อทำอยู่มันคือการร่นระยะเวลา จากที่ใช้เวลา 4 - 5 ปี ก็ลดลงเหลือแค่ 2 ปี "
เทคนิคของพ่อ คือการดูแลเอาใจใส่ “เราจะเตรียมต้นตอ Catimor และต้นแม่เกอิชาเอาไว้ โดยต้นแม่เกอิชา จะเป็นเกอิชาปานามารุ่นแรกที่ได้มาจากเคเลบ เพื่อรักษาคาแรกเตอร์ดั้งเดิมไว้ พ่อจะคอยดูแลใส่ปุ๋ยทั้งต้นตอและต้นแม่อย่างดี ปุ๋ยก็จะเป็นปุ๋ยขี้ไก่ เปลือกเชอร์รีกาแฟที่ถูกสี แล้วพอถึงเวลาที่เหมาะสมคือช่วงเดือน เมษายน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พืชค่อนข้างอยู่ตัว ก็จะเริ่มการเสียบกิ่ง
พ่อเริ่มจากใช้วิธีตัดยอดเกอิชาที่สมบูรณ์จากต้นแม่เก็บเอาไว้ เพื่อเตรียมเอาไปเสียบกับต้นตอ Catimor ที่แข็งแรง ด้วยการตัดกิ่ง Catimor ออกก่อน 1 กิ่ง และเสียบกิ่งเกอิชาลงไป โดยยังคงเก็บกิ่ง Catimor อีกหนึ่งกิ่งเอาไว้ เพื่อใช้เป็นกิ่งให้ร่ม จากนั้น 2 ปี กิ่งเกอิชาที่เสียบมันก็จะขึ้นมาเป็นกิ่งที่สมบูรณ์ ในปีที่ 3 พ่อก็จะตัดกิ่ง Catimor ที่เคยเหลือไว้เป็นกิ่งให้ร่มออก แล้วเอาเกอิชามาเสียบกิ่งนั้นแทน คราวนี้มันก็จะกลายเป็นเกอิชาทั้งต้น โดยถ้ามี Catimor แตกกิ่งออกมา พ่อก็จะคอยตัด คือให้มีแค่ 2 กิ่งที่เป็นเกอิชาไว้เท่านั้น ไม่ให้มีกิ่ง Catimor ขึ้นมาอีก สิ่งสำคัญคือต้องเสียบทีละกิ่ง จนมั่นใจว่ายอดเกอิชาที่เสียบกิ่งแรกใช้งานได้ ถึงค่อยเสียบยอดที่สอง อย่าใจร้อนเสียบทีเดียวสองกิ่งเดี๋ยวจะตายหมด ซึ่งการทำแบบนี้ทำให้เราไม่เสียเวลาในการเพาะเมล็ดเพราะเรามีต้นตอที่แข็งแรง หาอาหารมาได้ 20 กว่าปีแล้วอยู่แล้ว
ต่อมาในช่วงเดือนพฤษภาคม จะเป็นช่วงที่กาแฟออกดอก เราก็จะไปเก็บดอกเกอิชามาทำชา ซึ่งพอหลังจากเก็บดอกเสร็จ กาแฟส่วนใหญ่ก็จะติดลูกล่ะเหมือนผู้หญิงเวลาท้อง เราก็ต้องเริ่มเติมสารอาหาร และคอยดูว่ามีต้นไหนติดเชื้อราบ้าง ถ้าติดเชื้อราก็ต้องตัดต้นนั้น และเอาไปเผาเพื่อไม่ให้เชื้อราลุกลาม แล้วค่อยมาปลูกแซมหรือเสียบยอดใหม่ทีหลัง หลังจากนั้นในช่วงแต่ละเดือนก็จะมีการใส่ปุ๋ยและดูแล ต้องดูแลไปเรื่อย ๆ ถ้าช่วงไหนฝนตกชุก ก็จะมีการไปตัดแต่งต้นทองหลาง เพื่อให้ฟ้าเปิด อากาศโล่ง คอยตัดหญ้าลดความชื้น คือทำอะไรที่มันจะไปลดความชื้นได้ให้หมด รวมถึงกิ่งต้นกาแฟ ที่อาจจะหนาไป พ่อก็จะมีการไปตัดแต่งกิ่ง เพื่อให้เขามีเวลาไปโฟกัสที่ลูกของเขา และเอาสารที่อาหารที่เราให้ไปให้ลูกของเขาอย่างเต็มที่
หลังหมดฤดูฝน ก็จะช่วงที่อากาศเย็นลง ซึ่งช่วงนี้เราก็จะได้หายใจหายคอหน่อยเพราะว่าทองหลางที่ตัดไปก็จะพอดีกับอากาศที่ค่อนช้างเย็นพอดี ช่วงนี้เราจะไม่ให้ปุ๋ยมันล่ะ เพราะลูกมันกำลังจะสุก กาแฟที่มณีพฤกษ์จะสุกช้ากว่าที่อื่นเพราะมันอยู่ในป่า อากาศเย็น คือช่วงนี้ก็จะอยู่ในช่วงดูแลสวน หมายความว่าจะเป็นช่วงเตรียม Process เตรียมเรื่องน้ำ เตรียมโซลาเซลล์ เพื่อสูบน้ำจากลำธารข้างล่างข้างล่างขึ้นมาทำ Process การ Process จะจบลงในช่วงเดือนเมษายน ซึ่งเป็นช่วงที่เข้าสู่การเสียบยอดอีกครั้ง กาแฟเพิ่งจบการ Process ก็เหมือนผู้หญิงที่เพิ่งคลอดลูกที่ต้องได้รับการดูแล จึงต้องดูแลดี ๆ ตัดแต่งกิ่ง เก็บลูกที่ค้างไว้ เพราะถ้าปล่อยไว้ให้ค้างแดง มันจะกลายเป็นที่อยู่ของมอด ต้องเก็บทิ้ง เตรียมใส่ปุ๋ย ดูแลจนเขาจนต้นแข็งแรง ก็เริ่มเสียบยอด”
พ่อถาวรอธิบายเพิ่มเติมว่า ในสวนจะมีการปลูกต้นทองหลางไว้กับต้นกาแฟ เนื่องจากสวนนี้เคยเป็นแปลงกะหล่ำมาก่อน ไม่ได้เป็นป่ามาตั้งแต่ต้นเหมือนสวนที่อื่น จึงเลือกนำต้นทองหลางที่เจริญเติบโตได้เร็วมาปลูกเพื่อให้ร่มเงาแก่ต้นกาแฟ ที่มณีพฤกษ์แม้จะมีวันที่อากาศแจ่มใส แต่บางวันฟ้ากลับปิดไม่มีแสง ซึ่งการที่ต้นกาแฟต้องอยู่ภายใต้สภาพอากาศแบบนั้นเป็นเวลานาน อาจทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคราดำได้ พ่อถาวรจึงต้องคอยตัดแต่งกิ่งต้นทองหลาง เพื่อให้มีการถ่ายเทอากาศและได้รับแสงแดดอย่างเหมาะสม ในทางกลับกัน ในช่วงที่มีแดดจ้า ต้นทองหลางที่โตเร็วก็สามารถให้ร่มเงาเพื่อปกป้องต้นกาแฟได้
“เทคนิคของพ่อคือการดูแลเอาใจใส่ ใน 1 ปีมี 365 วัน พ่อใช้เวลาอยู่ในสวนไปแล้ว 300 วัน เพราะพ่อต้องดูแลต้นกาแฟและสวนตลอด สวนของพ่อเป็นพื้นที่ลาดชัน พ่อจึงตัดกิ่งทองหลาง ไปวางกอง ๆ ไว้เป็นขั้น ๆ เพื่อชะลอไม่ให้น้ำชะล้างหน้าดิน จนปุ๋ยที่ใส่ถูกล้างออกไป เป็นการสร้างขั้นบันไดทำให้เดินได้ง่ายขึ้น และเป็นบ้านให้ไส้เดือนได้ด้วย เพราะในช่วงฤดูแล้ง ไส้เดือนมันจะร้อน ถ้ามีกองไม้อยู่ ไส้เดือนจะได้มีที่หลบร้อน มีที่อาศัย และยังสามารถกักเก็บน้ำ เพื่อสร้างความชุ่มชื่นให้กับผิวดินได้ด้วย นอกจากนี้พ่อยังเลี้ยงชันโรง ซึ่งเป็นตระกูลผึ้งที่บินต่ำ บินได้ไม่ไกล และไม่มีเหล็กไน ด้วยความที่มันบินไม่ไกล มันก็จะผสมเกสรแค่ภายในสวนกาแฟ โดยไม่ไปเอาเกสรของกาแฟสวนอื่นมาผสม โอกาสกลายพันธุ์ก็จะต่ำลง แต่ถ้าเป็นผึ้งมันจะบินไกล ถ้าขามันไปติดเกสรกาแฟสายพันธุ์อื่นมาผสมเกอิชา มันอาจมีผลให้เกอิชากลายพันธุ์ได้อันนี้ก็จะเป็นอีกเทคนิคที่ทำให้พ่อสามารถดูแลแปลงกาแฟได้อย่างสมบูรณ์”
ด้วยการดูเอาใจใส่ที่ถือเป็นเทคนิคสำคัญ จึงทำให้สวนของพ่อถาวรได้รับรางวัลการประกวดการปฏิบัติติทางการเกษตรที่ดีสำหรับสวนกาแฟเพื่อความยั่งยืนตามหลักการเกษตรเชิงฟื้นฟู (GAP&Regenerative) โครงการประกวดสุดยอดกาแฟไทย ปี 2567 จากกรมวิชาการเกษตร ซึ่งรางวัลนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการปลูกกาแฟให้สอดคล้องกับธรรมชาติ เพื่อให้ดินมีสุขภาพดี มีความหลากหลายทางชีวภาพ และมีความยั่งยืนในระยะยาว ดังนั้น สวนกาแฟของพ่อถาวรจึงถือเป็นอีกหนึ่งสวนต้นแบบของการทำเกษตรแบบยั่งยืน และยังเป็นแบบอย่างให้กับเกษตรกรรายอื่น ๆ ที่ต้องการสร้างสมดุลระหว่างผลผลิตกับการดูแลสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือเป็นมาตรฐานที่สูงขึ้นสำหรับอนาคตของการปลูกกาแฟของไทยนั่นเอง
" สวนของพ่อเป็นพื้นที่ลาดชัน พ่อจึงตัดกิ่งทองหลาง ไปวางกอง ๆ ไว้เป็นขั้น ๆ เพื่อชะลอไม่ให้น้ำชะล้างหน้าดินจนปุ๋ยที่ใส่ถูกล้างออกไป เป็นการสร้างขั้นบันไดทำให้เดินได้ง่ายขึ้น และเป็นบ้านให้ไส้เดือนได้ด้วย "
Comments