การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ หรือที่เราเรียกกันว่า Climate change อย่างที่รู้กันดีว่าเป็นปัญหาสำคัญของพี่น้องเกษตรกร เช่น ฝนที่ตกไม่ตามฤดูกาล ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อเกษตรกรที่ปลูกกาแฟ เนื่องจากการตกที่ไม่ตรงตามฤดูกาลของฝนส่งผลต่อกาแฟใน 2 เรื่องสำคัญคือ ผลผลิตและกระบวนการแปรรูป หากว่าฝนตกช้าหรือไม่ตกจะเกิดปัญหากับการออกดอกของต้นกาแฟ และต้นกาแฟจะไม่สามารถดึงธาตุอาหารไปหล่อเลี้ยงลำต้นได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้ผลเชอร์รีน้อยหรืออาจด้อยคุณภาพลง นอกจากนี้ยังเป็นปัญหามากในขั้นตอนการตาก ทำให้กาแฟเกิดการเน่าเสีย และเกิดการหมักบนลานตาก ทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ค่อนข้างมาก ดังนั้นสภาพภูมิอากาศที่ผันผวนอยู่ตลอดเวลานี้จึงส่งผลต่อคุณภาพและผลผลิตกาแฟ อุณภูมิที่สูงขึ้นในปัจจุบันส่งผลต่อเกษตรกรที่ปลูกกาแฟอาราบิกา เพราะอย่างที่รู้กันว่ากาแฟสายพันธุ์อาราบิกาชอบอุณหภูมิที่หนาวเย็น อุณหภูมิที่สูงขึ้นหรือสภาพอากาศที่ผันผวนเกือบจะตลอดทั้งปีจึงเป็นอุปสรรคหลักของสายพันธุ์นี้
เมื่อไม่นานมานี้มีการค้นพบกาแฟสายพันธุ์ป่าหายากที่อยู่ทางตะวันตกตอนบนของแอฟริกา
แต่เมื่อไม่นานมานี้มีการค้นพบกาแฟสายพันธุ์ป่าหายากที่อยู่ทางตะวันตกตอนบนของแอฟริกา ซึ่งทางคณะผู้วิจัยจากศูนย์ความร่วมมือระหว่างประเทศด้านการวิจัยเกษตรกรรมเพื่อการพัฒนา ประเทศฝรั่งเศส (CIRAD: Center de Cooperation International en Recherche Agronomique pour le Development) เรียกกันว่า “กาแฟที่ถูกลืม” เพราะไม่มีการพบเห็นในป่าตั้งแต่ปี 1954 กาแฟสายพันธุ์นี้มีชื่อว่า สเตโนฟิลลา (Stenophylla coffee) Dr. Davis และ Dr. Jeremy ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ด้านนิเวศเกษตร (Agroecology) จาก University of Greenwich ทั้งสองท่านเป็นผู้เขียนรายงานการค้นคว้านี้ ได้เดินทางไปที่เซียร์ราลีโอน (Sierra Leone) เพื่อทำงานร่วมกับ Daniel Sarmu ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาสายพันธุ์กาแฟในป่า ทางคณะสำรวจได้ตัวอย่างจาก RBG Kew หรือสวนพฤกษศาสตร์หลวงเมืองคิว เพื่อศึกษารายละเอียดและแนวทางเกี่ยวกับถิ่นที่พบครั้งสุดท้ายของกาแฟสายพันธุ์สเตโนฟิลลา และด้วยการสนับสนุนขององค์กรพัฒนาเอกชน Welthungerhilfe ซึ่งเป็นหน่วยงานให้ความช่วยเหลือที่ไม่แสวงหาผลกำไรของประเทศเยอรมัน และกรมป่าไม้เซียร์ราลีโอน (Sierra Leone Forestry Department) ทำให้เจอกับสายพันธุ์กาแฟที่ถูกลืมนี้
คณะผู้วิจัยได้นำรายละเอียดของกาแฟอาราบิกาและโรบัสตาเพื่อนำมาเปรียบเทียบและทำความเข้าใจถึงข้อกำหนดพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อม พบว่าสเตโนฟิลลาเจริญเติบโตและสามารถปลูกได้ภายใต้สภาพอากาศที่คล้ายคลึงกับโรบัสตา แต่มีความต้องการอุณหภูมิเฉลี่ยต่อปีสูงกว่า 24.9 องศาเซลเซียส การวิเคราะห์นี้แสดงให้เห็นว่ากาแฟสเตโนฟิลลาสามารถเติบโตที่อุณหภูมิที่สูงกว่าอาราบิกาได้เป็นอย่างมาก นอกจากการปรับตัวกับสภาพอากาศที่ดีเยี่ยมแล้ว ในเรื่องของรสชาติก็ไม่แพ้ทางฝั่งอาราบิกาเลยแม้แต่น้อย กาแฟสเตโนฟิลลาได้รับการประเมินโดยคณะชิมผู้เชี่ยวชาญที่ Union Hand-Roasted Coffee คณะกรรมการให้คะแนน 80.25 (ตามโปรโตคอลของ SCA: Specialty Coffee Association) และระบุคุณสมบัติว่าคล้ายกาแฟอาราบิกา และตัวอย่างได้รับการประเมินที่ห้องปฏิบัติการวิเคราะห์เซ็นเซอร์ของ CIRAD ในมงต์เปลิเยร์ (Montpellier) โดยคณะกรรมการและผู้เชี่ยวชาญด้านกาแฟจากบริษัทต่างๆ เช่น JDE, Nespresso และ Belco ผลการประเมินพบว่าสเตโนฟิลลามีรสชาติที่ซับซ้อน โดยผู้ตัดสินสัมผัสถึงความหวานตามธรรมชาติ มีความเป็นกรดสูงปานกลาง และมี body ที่ดี กล่าวคือมีรสสัมผัสในปากที่ดีนั่นเอง
นอกจากนี้ยังมีกลิ่นที่ชวนน่าหลงใหล และมี test note ที่ยอดเยี่ยมคือ peach, blackcurrant, mandarin, honey, light black tea, jasmine, spice, floral, chocolate, caramel, nuts, และ elderflower syrup ซึ่งอาจพบได้ในกาแฟอาราบิกาคุณภาพสูง และเมื่อนำตัวอย่างของกาแฟสเตโนฟิลลาให้กับผู้ทดสอบว่าเป็นกาแฟอาราบิกาใช่หรือไม่ ผู้ทดสอบจำนวน 81% ตอบว่าใช่ แสดงให้เห็นว่ารสชาติและกลิ่นคล้ายกับกาแฟอาราบิกาค่อนข้างมาก นอกจากนี้ Dr. Delphine Mieulet นักวิทยาศาสตร์ของ CIRAD ซึ่งเป็นผู้นำการชิมกล่าวว่า “ผลลัพธ์เหล่านี้เป็นการประเมินทางรสสัมผัสที่น่าเชื่อถือได้สำหรับกาแฟสเตโนฟิลลา ซึ่งเราสามารถยืนยันได้จากรายงานที่ผ่านมาในเรื่องของรสชาติ”
การวิเคราะห์ทางรสสัมผัสของสเตโนฟิลลาเผยให้เห็นรูปแบบรสชาติที่ซับซ้อน และน่าสนใจ ซึ่งในฐานะพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ สายพันธุ์นี้เต็มไปด้วยความหวัง
อย่างไรก็ตามกาแฟที่ถูกลืมตัวนี้ยังคงอยู่ในขั้นตอนของการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม และทาง CIRAD ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “การวิเคราะห์ทางรสสัมผัสของสเตโนฟิลลาเผยให้เห็นรูปแบบรสชาติที่ซับซ้อน และน่าสนใจ ซึ่งในฐานะพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ สายพันธุ์นี้เต็มไปด้วยความหวัง และทำให้เราจินตนาการถึงอนาคตที่สดใสสำหรับกาแฟที่มีคุณภาพ และทำให้เรามีโอกาสที่จะมีกาแฟที่ยั่งยืนภายใต้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ”
แหล่งอ้างอิง: https://www.fdiforum.net
ภาพถ่ายในบทความ เป็นภาพเพื่อประกอบบทความเท่านั้น ไม่ใช่ภาพถ่ายในพื้นที่วิจัย
Commentaires