top of page

กาแฟไม่ได้ถูกจำกัดด้วยเส้นละติจูดอีกต่อไป

ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา เรามักคุ้นกับแนวคิดว่ากาแฟปลูกได้เฉพาะในเขต Coffee Belt หรือก็คือพื้นที่รอบเส้นศูนย์สูตรระหว่างละติจูดที่ 23° เหนือ ถึง 25° ใต้ ที่มีภูมิอากาศเหมาะสมที่สุดสำหรับพืชกาแฟ ตั้งแต่ประเทศบราซิลและโคลอมเบีย ไปจนถึงเอธิโอเปีย เวียดนาม และอินโดนีเซีย


ree

แต่ในปี 2025 งานวิจัยเชิงรีวิวเรื่อง “Expanding Coffee Cultivation beyond Traditional Boundaries: Challenges, Innovations, and Sustainability in Non-Traditional Regions” โดย Rania A.E. Abdelzaher จากสถาบันวิจัยพืชสวนแห่งอียิปต์ (Agricultural Research Center, Giza) ได้ตั้งคำถามสำคัญว่า “เมื่อสภาพภูมิอากาศกำลังเปลี่ยน โลกกาแฟควรอยู่ตรงไหน”


คำถามนี้ไม่เพียงเป็นประเด็นทางสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นการท้าทายภาพจำของอุตสาหกรรมกาแฟทั่วโลก และอาจรวมถึงประเทศไทยด้วย


งานวิจัยฉบับนี้อ้างอิงข้อมูลภูมิอากาศและผลผลิตกาแฟทั่วโลกในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา พบว่าหลายพื้นที่ใน “Coffee Belt” เช่น บราซิลตอนใต้ เอธิโอเปีย และอูกันดา กำลังเผชิญกับอุณหภูมิที่สูงขึ้นและฤดูฝนที่ไม่แน่นอน ทำให้ผลผลิตและคุณภาพลดลงอย่างต่อเนื่อง


ในทางกลับกัน พื้นที่ที่เคย “อยู่นอกเขต” เช่น เม็กซิโกตอนบน อินเดียตอนเหนือ เนปาล รวมถึงภาคเหนือของประเทศไทย กลับเริ่มมีเงื่อนไขที่เหมาะสมกับการปลูกกาแฟมากขึ้น ทั้งอุณหภูมิที่เย็นลงในฤดูฝน และปริมาณน้ำที่สมดุลกว่าพื้นที่ดั้งเดิม

“การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศไม่ได้เป็นเพียงภัยคุกคาม แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของภูมิศาสตร์กาแฟยุคใหม่” Abdelzaher กล่าว

นวัตกรรมและเทคโนโลยีคือกุญแจสำคัญของพื้นที่ปลูกใหม่


งานวิจัยของ Abdelzaher สรุปว่า การขยายพื้นที่ปลูกกาแฟในภูมิภาคใหม่ ไม่สามารถอาศัยโชคของธรรมชาติได้เพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยเทคโนโลยีและระบบการจัดการเข้ามาช่วย Abdelzaher ได้แยกสรุปออกมาเป็นประเด็น ๆ ดังนี้


วนเกษตร (Agroforestry) เป็นหัวใจหลักของการเพาะปลูกในพื้นที่เปิดใหม่ โดยการปลูกกาแฟร่วมกับไม้ผลหรือไม้ยืนต้นอื่น ๆ เช่น แมคคาเดเมีย อะโวคาโด หรือไม้ป่าในท้องถิ่น ช่วยควบคุมอุณหภูมิและความชื้นในแปลงกาแฟ ลดการพังทลายของดิน และเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ


การเกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) ด้วยการนำเทคโนโลยีอย่างเซนเซอร์ IoT โดรนตรวจสภาพพืช และระบบชลประทานอัจฉริยะ ใช้เพื่อปรับปัจจัยน้ำและธาตุอาหารอย่างละเอียด จะทำให้กาแฟเติบโตในสภาวะที่ควบคุมได้แม้ในพื้นที่ที่ไม่สมบูรณ์แบบ

 

สายพันธุ์ใหม่ (New Species)

สถาบันวิจัยกาแฟทั่วโลกกำลังพัฒนาสายพันธุ์ที่ทนแล้ง ทนโรค และปรับตัวกับอุณหภูมิสูงได้ เช่น Coffea stenophylla หรือ Híbrido de Timor หรือสายพันธุ์ S4594 และ S5086 ของสถาบันวิจัยกาแฟกลางของอินเดีย หรือ Central Coffee Research Institute (CCRI) ที่เราเคยเขียนบทความไปก่อนหน้านั้น  ซึ่งกาแฟสายพันธุ์ใหม่ ๆ เหล่านี้ ล้วนเปิดโอกาสให้ประเทศที่อยู่นอกโซน Coffee Belt ปลูกกาแฟได้คุณภาพระดับ specialty ได้เช่นกัน


ถึงแม้จะมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยก็ตาม แต่การขยายพื้นที่ปลูกกาแฟก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน ในงานวิจัยยังระบุความท้าทายไว้ด้วยว่า ยังต้องดูที่ระบบโครงสร้างพื้นฐานและตลาด ซึ่งพื้นที่ใหม่ ๆ มักขาดระบบการแปรรูปและขนส่งที่มีคุณภาพ เช่น โรงสี หรือเครือข่ายผู้รับซื้อ ทำให้ต้นทุนสูงและคุณภาพไม่คงที่ ข้อที่ 2 คือความเสี่ยงด้านโรคและแมลง เพราะพืชกาแฟในพื้นที่ใหม่อาจเผชิญกับศัตรูพืชที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่น coffee leaf rust (โรคพืชที่เกิดจากเชื้อราหรือโรคราสนิม Hemileia vastatrix) และ berry borer (มอดเจาะผลกาแฟ) ซึ่งอาจระบาดได้เร็วหากขาดระบบตรวจสอบ และสุดท้ายคือประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม Abdelzaher บอกว่า การขยายพื้นที่ปลูกกาแฟโดยไม่คำนึงถึงความหลากหลายทางชีวภาพ หรือการแผ้วถางป่า (เหมือนที่ประเทศบราซิลกำลังเผชิญกับการแผ่วถางป่าเพื่อปลูกกาแฟกว่า 737,000 เฮกตาร์ /ผู้เขียน) อาจสร้างปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในระยะยาว ดังนั้นความยั่งยืนต้องมาก่อนการขยายเชิงปริมาณ


ree

บทสรุปสำคัญของ Abdelzaher และงานวิจัยชิ้นนี้กำลังจะบอกกับเราว่า “กาแฟไม่ได้ถูกจำกัดด้วยเส้นละติจูดอีกต่อไป” ด้วย ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทำให้ประเทศที่อยู่นอกโซน Coffee Belt เช่น เนปาล บังกลาเทศ อินเดีย รวมถึงไทย สามารถพัฒนาเป็นผู้ผลิตกาแฟพิเศษได้ หากมีการวางระบบที่ดี


ตลาดกาแฟพิเศษระดับโลกเองก็เริ่มเปิดรับกาแฟจากภูมิภาคใหม่มากขึ้น ตัวอย่างเช่น กาแฟจาก Yunnan (จีน) และ Mizoram (อินเดีย) ที่กำลังได้รับความนิยมจากโรงคั่วในยุโรปและออสเตรเลียอยู่ตอนนี้


ภูมิศาสตร์ของกาแฟกำลังถูกเขียนใหม่จากเส้น Coffee Belt สู่โลกที่กาแฟสามารถปลูกได้แทบทุกที่ที่มีความมุ่งมั่นและการจัดการที่ดี”


และถ้ามองในแง่ของโอกาสสำหรับอุตสาหกรรมกาแฟของประเทศไทยในงานวิจัยชิ้นนี้ ประเทศไทยอาจเป็น “ผู้เล่นศักยภาพสูงในเอเชีย” เนื่องจากมีพื้นที่สูง เหมาะกับกาแฟอาราบิกา และมีความเข้าใจเรื่องการปลูกเชิงอนุรักษ์อยู่เป็นต้นทุนเดิมอยู่แล้วซึ่งแนวทางที่สามารถนำมาปรับในการพัฒนาทั้งระบบ ส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือ การส่งเสริมระบบวนเกษตร (agroforestry) ในการปลูกกาแฟร่วมกับพืชท้องถิ่นอื่น ๆ หรือไม้ป่าพื้นเมือง เพื่อรักษาความชื้นและเสริมรายได้ให้เกษตรกร วิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ไทยใหม่ โดยใช้สายพันธุ์ทนแล้ง ทนโรค และปรับตัวกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้ดี เพื่อขยายพื้นที่ปลูกสู่ภาคตะวันตกหรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สร้างระบบติดตามและการรับรองแหล่งที่มา (traceability) เพื่อให้กาแฟไทยได้รับการยอมรับในตลาดสากล สุดท้ายคือเน้นการผลิตแบบ “climate-smart coffee” หรือการผสมผสานความรู้ทางวิทยาศาสตร์เข้ากับความเข้าใจภูมิปัญญาท้องถิ่น

 

งานวิจัยชิ้นนี้อาจส่งสัญญาณว่า กาแฟไม่ได้เป็นพืชเฉพาะเขตร้อนอีกต่อไป แต่คือพืชเศรษฐกิจที่สามารถเติบโตได้ทุกที่ที่มีการจัดการที่ชาญฉลาดและใส่ใจสิ่งแวดล้อม กาแฟในศตวรรษที่ 21 ไม่ได้เกิดจากภูมิอากาศเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากนวัตกรรม ความยั่งยืน และความเข้าใจในธรรมชาติ ในโลกที่กาแฟกำลังเปลี่ยนที่อยู่ และประเทศไทยอาจกลายเป็นหนึ่งในหน้าใหม่ของแผนที่กาแฟโลกก็เป็นได้


----


แหล่งอ้างอิง : Rania A.E. Abdelzaher (2025). Expanding Coffee Cultivation beyond Traditional Boundaries: Challenges, Innovations, and Sustainability in Non-Traditional Regions. Journal of Plant and Food Sciences Vol. 3 (1), pp. 67–76. DOI: 10.21608/jpfs.2025.374988.1034.



เป็นนิตยสารรายสองเดือน ที่จัดพิมพ์ขึ้นเพื่อเป็นการส่งผ่านความรู้ทางด้านกาแฟ

และเสริมมุมความคิดในด้านธุรกิจกาแฟ

- - -

Facebook : Coffee Traveler

Youtube : Coffee Traveler

Comments


bottom of page