Origin Crisis โลกของกาแฟกำลังเผชิญกับปัญหาการปลอมแปลงแหล่งปลูก
- coffeetravelermag
- 4 days ago
- 2 min read

หลายคนที่อยู่ในวงการกาแฟ ตั้งแต่ผู้ดื่มจนถึงบาริสตา อาจเชื่อว่าถ้าถุงกาแฟเขียนว่า “100% Colombia” นั่นย่อมหมายความว่าเป็นกาแฟจากโคลอมเบียแท้ทุกเมล็ด แต่ในปีที่ผ่านมา ความเชื่อพื้นฐานนี้ถูกเขย่าอย่างแรง เมื่อสมาพันธ์ผู้ปลูกกาแฟโคลอมเบีย (FNC) ออกมาเตือนต่อสาธารณะว่า อาจมีเมล็ดกาแฟจากประเทศเพื่อนบ้านถูกนำเข้ามาผสมแล้วส่งออกไปขายในชื่อ “Colombia”
ข่าวนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั้งตลาด specialty coffee เพราะโคลอมเบียคือหนึ่งใน “ตราประทับความเชื่อมั่น” ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และหากชื่อ Colombia ยังถูกใช้ผิด ชื่ออื่น ๆ ก็อาจถูกใช้ผิดได้เช่นเดียวกัน
โคลอมเบียเป็นประเทศที่เริ่มต้นการตั้งคำถามว่า กาแฟในถุง คือกาแฟในฟาร์มจริงหรือไม่ และสำหรับการกล่าวหานี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะประเทศนี้ลงทุนมหาศาลในระบบคุณภาพและการสร้างชื่อเสียงมานานกว่า 90 ปี ตั้งแต่นโยบายกำกับดูแลคุณภาพ (Quality Control) ไปจนถึงการขึ้นทะเบียน Café de Colombia – Denomination of Origin แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นมี 2 ระดับด้วยกัน คือ 1 ราคากาแฟบราซิลถูกกว่าอย่างมาก ทำให้บางผู้ค้าฉวยโอกาสนำเข้ากาแฟบราซิลมาผสมกับกาแฟโคลอมเบีย แล้วส่งออกไปสหรัฐฯ หรือยุโรป ในชื่อ “Colombia” เพื่อเลี่ยงภาษี ข้อต่อมาคือการ รี - เอ็กซ์พอร์ต (re-export) กาแฟจากชาติอื่น ถูกนำมาผ่านท่าเรือโคลอมเบีย แล้วถูกแปะป้ายว่าเป็น “Product of Colombia” ทั้งที่ไม่ได้ปลูกที่นั่นจริง นี่คือ “origin fraud” ที่ทำลายความน่าเชื่อถือในวงการกาแฟพรีเมียมอย่างหนัก เพราะในตลาด specialty ความจริงของต้นกำเนิด คือหัวใจของเรื่องทั้งหมด เพราะผู้ดื่มไม่ได้ซื้อแค่กาแฟ แต่ซื้อเรื่องราว แหล่งปลูก, ความสูง, ผู้ปลูก, process, terroir ที่ทุกอย่างถูกพังลงทันที ถ้าความจริงไม่ใช่อย่างที่เขียนอยู่ในป้าย
แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าคือ ประเทศโคลอมเบีย ไม่ใช่ประเทศแรกที่เจอกับปัญหานี้ เพราะความต้องการกาแฟ origin จากแหล่งปลูกชื่อดังนั้นสูงมาก จึงทำให้เกิดแรงจูงใจในการสวมสิทธิ์ต้นกำเนิด (origin swap) เกิดขึ้นมากมายหลายกรณีทั่วโลก เช่นกาแฟเอธิโอเปียบางล็อต ถูกส่งออกในชื่อ “Yemen” เพื่อขายราคาสูงกว่า กาแฟเอเชียบางส่วนถูกจัดส่งจากยุโรปเพื่อให้ดูเป็น ‘European roasted coffee’ หรือกาแฟเวียดนามถูกติดป้ายว่าเป็น ‘African coffee’ ในตลาดจีน เป็นต้น ซึ่งคนในวงการ specialty ต่างรู้กันดีว่าตลาดมืดของ origin มีอยู่จริง เพียงแต่ไม่ค่อยถูกพูดถึง เพราะจะกระทบกับผู้ส่งออกรายใหญ่จำนวนมาก
สำหรับประเทศไทยก็เจอแบบเดียวกัน และหนักในบางช่วงเสียด้วยซ้ำ ประเทศไทยอาจไม่ใช่ผู้ส่งออกยักษ์ใหญ่ แต่ก็เป็นหนึ่งใน “ผู้ถูกสวมสิทธิ์” มากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่อไปนี้คือประเด็นที่เกิดขึ้นจริงในตลาดกาแฟไทย ลาว เวียดนาม จีน และคนในวงการรู้กันดี แต่ไม่ค่อยปรากฏบนหน้าข่าวใหญ่

กาแฟไทยถูกนำไปขายในจีนในชื่อ “กาแฟลาว” หรือ “กาแฟเวียดนาม” ซึ่งผู้ค้าบางรายซื้อโรบัสตาไทยราคาต่ำ โดยนำเข้าข้ามชายแดนไปลาวหรือเวียดนาม จากนั้นจึง รี – เอ็กซ์พอร์ต ไปจีนในชื่อ “กาแฟลาว” หรือ “กาแฟเวียดนาม” เพราะภาพลักษณ์กาแฟลาวและเวียดนาม ขายได้ราคาดีกว่าในบางตลาดของจีน ในขณะที่ความจริง กาแฟโรบัสตาไทยมีคุณภาพสูงขึ้นมากในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา
สำหรับกาแฟ Arabica จากไทย ก็ถูกนำไปผสมกับ Ethiopia หรือ Colombia แล้วติดป้ายขายในต่างประเทศ เช่น บางโรงคั่วในไต้หวัน, ญี่ปุ่น หรือเกาหลี ที่ซื้อเมล็ดอาราบิกาของไทยจำนวนมาก เพราะมีความสะอาด สม่ำเสมอ และ cost-effective โดยมีบางรายไม่เปิดเผยสัดส่วนการผสม ทำให้กาแฟที่ติดป้ายว่า Ethiopia Blend หรือ Colombia Blend จริง ๆ อาจมี เมล็ดไทยอยู่ในนั้นกว่า 30–60% แต่ทั้งหมดนี้ไม่ใช่อาชญากรรม แต่เป็นการบิดเบือนความจริงของ originซึ่งในวงการ specialty ถือว่าผิดจริยธรรมอย่างมาก
ในงานกาแฟบางประเทศ เช่น ไต้หวัน, ฮ่องกง หรือญี่ปุ่น มีผู้นำเข้าบางรายติดฉลาก Arabica ไทยว่า “Bolaven Plateau – Laos” หรือ “Da Lat – Vietnam” เพราะชื่อเหล่านี้ดูจะมีเสน่ห์กว่าในตลาดแมส ทั้งที่ในความเป็นจริง เมล็ดของไทยในหลายแหล่งปลูก อย่างดอยสะเก็ด, แม่ฮ่องสอน หรือเชียงรายนั้น มีคุณภาพสูงไม่แพ้กัน
ในไทยเองก็มีปัญหาเช่นกันกับความเป็น origin แท้ในตลาดไทย เมื่อโรงคั่วแมสบางแห่งขายเมล็ด Colombia, Kenya หรือEthiopia แต่กลับใช้เป็นเมล็ดตลาดล่างผสมกับเมล็ดไทย หรือบางร้านอ้าง Single Origin ทั้งที่ซื้อจากหลายฟาร์ม บางรายเขียนว่า “Micro-lot 50 kg” แต่จริงคือ macrolot หลายตัน เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ผู้บริโภคเริ่มตั้งคำถามว่า คำว่า “origin” ยังเชื่อถือได้หรือไม่
ทำไมเรื่องนี้ถึงอันตรายต่อความเชื่อมั่นในวงการกาแฟของทั่วโลกและโดยเฉพาะไทย ก็เพราะว่าในตลาด specialty ผู้บริโภคไม่ได้ซื้อกาแฟ แต่ซื้อความจริง ของเรื่องราวต้นกำเนิดที่คือหัวใจของการยกระดับกาแฟ คาเฟ่และโรงคั่วที่ทำของจริง ถูกทำลายความได้เปรียบ เพราะมีสินค้าปลอมจากต้นกำเนิดขายในราคาถูกกว่า ซึ่งเป็นการได้เปรียบโดยไม่ยุติธรรม เกษตรกรอาจเสียโอกาสในการสร้างมูลค่าเพิ่ม เพราะถ้ากาแฟถูกขายในนามประเทศอื่น กาแฟไทยก็ไม่สามารถสร้างชื่อบนเวทีโลกได้เต็มที่ และผู้ซื้อจากต่างประเทศอาจหมดความมั่นใจในกาแฟไทย Origin ที่น่าเชื่อถือ
แล้วเราควรช่วยกันทำอย่างไรต่อสำหรับกรณีนี้ สำคัญที่สุดคือความโปร่งใสแบบ 100% สำหรับทุกล็อต คาเฟ่และโรงคั่วควรระบุแหล่งที่มาอย่างตรงไปตรงมา เช่น เป็นกาแฟจากฟาร์มไหน หมู่บ้านอะไร Cooperative ไหน ใครปลูก ร่วมสนับสนุนระบบการตรวจสอบย้อนกลับ ทั้งในระดับจังหวัดถึงในระดับประเทศ คล้ายระบบ Colombia Origin หรือ GI ของประเทศญี่ปุ่น ส่งเสริม direct trade เพื่อลดคนกลางที่เป็นคนที่จะสามารถเจือปนเมล็ดได้มากที่สุด เพราะยิ่งใกล้ชิดกับฟาร์มหรือกับเกษตรกรมากเท่าไร ความเสี่ยงในการปลอมปนก็จะน้อยลง สุดท้ายคือการให้ความรู้ต่อผู้บริโภคว่า กาแฟไทยดีแค่ไหน เพราะถ้าผู้บริโภคเชื่อในคุณค่ากาแฟไทย แรงจูงใจในการสวมสิทธิ์ก็จะลดลงเอง
เพราะเมื่อความจริงคือสิ่งที่แพงที่สุดในโลกกาแฟ และในยุคที่กาแฟพรีเมียมคือสินค้าที่มีเรื่องเล่า การปกป้องความจริงของต้นกำเนิดสำคัญยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา ไม่ว่าจะเป็นกรณีของประเทศโคลอมเบียหรือของไทยเอง ชื่อประเทศบนถุงอาจไม่ใช่ความจริงเสมอไป แต่ความจริงคือสิ่งที่เราต้องช่วยกันรักษา เพราะเมื่อผู้ดื่มเชื่อในต้นกำเนิด โลกของ specialty coffee ก็เติบโตไปด้วยกันได้อย่างสวยงาม
เป็นนิตยสารรายสองเดือน ที่จัดพิมพ์ขึ้นเพื่อเป็นการส่งผ่านความรู้ทางด้านกาแฟ
และเสริมมุมความคิดในด้านธุรกิจกาแฟ
- - -
Facebook : Coffee Traveler
Instagram : coffeetraveler_magazine
Youtube : Coffee Traveler
Blockdit : I am Coffee Traveler / coffeetravelermag



Comments