top of page

เมื่อรัฐบาลเวียดนามกลายเป็นแรงขับสำคัญที่สุด ที่ทำให้เวียดนามเป็นผู้ส่งออกกาแฟอันดับต้นของโลก

ree

ข่าวล่าสุดที่ออกมาจากสมาคมกาแฟ – โกโก้ เวียดนาม ที่คาดการณ์ว่า มูลค่าการส่งออกกาแฟในปีนี้จะสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้อย่างมาก โดยอาจสูงถึง 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจากเป้าหมายเดิมที่ 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับปี 2573 สมาคมฯ ยังระบุด้วยว่า การคาดการณ์นี้ เป็นผลมาจากปัจจัยหลัก 3 ประการ ได้แก่ คุณภาพผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้น สัดส่วนผลิตภัณฑ์แปรรูปที่เพิ่มขึ้น และการขยายตลาดเชิงกลยุทธ์ในระยะยาว การส่งออกกาแฟของเวียดนามพุ่งสูงแบบ “ทำลายสถิติ” กลายเป็นประเด็นที่ผู้คนในวงการกาแฟทั่วโลกจับตา จากประเทศเกษตรกรรมที่ต้องฟื้นตัวจากสวนกาแฟเสื่อมโทรมในยุคก่อน วันนี้เวียดนามเดินมาถึงจุดที่ทำมูลค่าส่งออกแตะระดับหลายพันล้านดอลลาร์ต่อปี และกลายเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญที่กำหนดทิศทางของตลาดกาแฟ Robusta โลก


หลายคนอาจคิดว่าเวียดนามเติบโตเพราะปลูก Robusta ปริมาณมาก ราคาจับต้องง่าย หรือเพราะตลาดยุโรปมีความต้องการสูงขึ้น แต่ภาพจริงนั้นลึกกว่านั้นมาก นั่นคือสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้ ก็คือบทบาทของ “ภาครัฐฯ” ที่ปรับภาพรวมของอุตสาหกรรมกาแฟทั้งประเทศให้พร้อมแข่งขันในระดับโลก


บทความนี้ เราจะมาถอดรหัสกันว่า เพราะอะไรประเทศเวียดนามถึงส่งออกกาแฟได้มากขึ้นอย่างก้าวกระโดด และภาครัฐฯ มีส่วนอย่างไรในทุกก้าวของการเติบโตนี้


ก่อนปี 2010 สวนกาแฟในเวียดนามจำนวนมากเสื่อมโทรม ผลผลิตตกต่ำ และเกษตรกรไม่มีกำลังทุนพอจะเปลี่ยนต้นกาแฟใหม่ รัฐบาลจึงเริ่ม “โครงการฟื้นฟูสวนกาแฟ” ที่กลายเป็นหมุดหมายสำคัญของการเติบโตในวันนี้ โดยมีปัจจัยหลัก ๆ ที่รัฐบาลดำเนินงานคือ การให้เงินกู้ระยะยาวดอกเบี้ยต่ำแก่เกษตรตกร วิจัยและพัฒนาสายพันธุ์กาแฟรุ่นใหม่ ๆ ที่ให้ผลผลิตสูงและทนโรคกว่าเดิม และสร้างความรู้ด้านการจัดการน้ำ ปุ๋ย และเทคโนโลยีเกษตร ด้วยปัจจัยหลักทั้ง 3 เหตุผลนี้ ทำให้ภายในเวลาไม่กี่ปี ผลผลิตต่อพื้นที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน และสวนกาแฟที่เคยทรุดโทรม ก็กลับมาเป็นสวนที่พร้อมสู้กับตลาดโลกได้อีกครั้ง ซึ่งมันก็คือรากฐานของการเติบโตที่แท้จริง คือ ฟื้นต้นกาแฟ ฟื้นอาชีพเกษตรกร และฟื้นอุตสาหกรรมทั้งประเทศ และที่กาแฟเวียดนามแข็งแรงไปได้อีก ก็เพราะมีระบบโลจิสติกส์ที่แข็งแรง เพราะรัฐบาลลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเอาไว้ล่วงหน้า จึงทำให้ทั้งองค์ประกอบสมบูรณ์ได้ทั้งระบบ


เมื่อมองแผนที่เวียดนาม เราจะเห็นว่าพื้นที่ปลูกกาแฟอยู่ใน Central Highlands ซึ่งห่างจากท่าเรือหลายร้อยกิโลเมตร ภาครัฐฯ จึงทุ่มลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแบบ “คิดเผื่อตลาดส่งออก” ได้แก่ ถนนขนส่งเชื่อมสวนกาแฟ โรงแปรรูป และท่าเรือ สร้างเขตอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตร มีระบบคลังเก็บที่ได้มาตรฐาน และมีสถานีโลจิสติกส์ที่รองรับการส่งออกได้จำนวนมาก ด้วยผลลัพธ์ง่าย ๆ แต่ทรงพลังแบบนี้ ทำให้ต้นทุนขนส่งของเวียดนามต่ำกว่าหลายประเทศในเอเชีย และการส่งออกมีความสม่ำเสมอสูงกว่า และทั้งหมดนี้คือเกมของภาครัฐฯ ที่ปูพื้นฐานเอาไว้ให้ผู้ประกอบการไปต่อได้ไกลขึ้น


รัฐบาลเวียดนามเปิดประตูการค้าโลกด้วย FTA

เมื่อเวียดนามเดินเร็วกว่าหลายประเทศในภูมิภาค จึงได้รับประโยชน์อย่างมากจากนโยบายเปิดเสรีทางการค้า ภาครัฐฯ ผลักดันข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) หลายฉบับอย่างจริงจัง ตั้งแต่ EVFTA (EU–Vietnam Free Trade Agreement) กับสหภาพยุโรป, CPTPP (Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership) หรือความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิกแบบครอบคลุมและก้าวหน้า มีประเทศสมาชิกทั้งหมด 11 ประเทศ แต่ไม่มีประเทศไทยอยู่ในนั้น, UKVFTA (UK–Vietnam Free Trade Agreement) หรือความตกลงการค้าเสรีระหว่างสหราชอาณาจักร (UK) กับเวียดนาม และข้อตกลงทวิภาคีอื่น ๆ อีกจำนวนมาก ผลคือกาแฟของเวียดนามเข้าไปในตลาดสำคัญด้วยภาษีต่ำหรือแทบไม่เสียภาษีเลย


และนี่คือปัจจัยที่ทำให้ในปี 2024–2025 ยุโรปนำเข้ากาแฟเวียดนามเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หลายโรงคั่วในยุโรปหันมาใช้ Robusta เวียดนามเป็นวัตถุดิบหลักในเบลนด์แบบ modern roast มากขึ้น เพราะเวียดนามเข้าได้เร็วกว่า คุ้มกว่า และส่งมอบได้เสถียรกว่า



รัฐบาลเวียดนามไม่ได้เพียงแค่มุ่งเพิ่มปริมาณเพียงอย่างเดียว แต่ทิศทางปัจจุบันคือเน้นเพิ่มมูลค่าผ่านการบังคับใช้มาตรฐาน GAP ส่งเสริมระบบการตรวจสอบย้อนกลับ (traceability) การปรับปรุงคุณภาพการแปรรูปหลังเก็บเกี่ยว และสนับสนุนงานวิจัยพัฒนาเมล็ดพันธุ์และเทคนิคการผลิต ผลที่ตามมาคือ มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด แม้บางปีปริมาณส่งออกไม่ได้มากกว่าเดิมมากนัก แต่ราคาต่อหน่วยเพิ่มขึ้นชัดเจน ทำให้ประเทศเวียดนามไม่ได้เป็นแค่ผู้ผลิต Robusta ปริมาณมากอีกต่อไป แต่กำลังเป็นประเทศผู้ผลิตที่เข้าใจตลาด และกำลังสร้างความน่าเชื่อถือด้านคุณภาพอย่างต่อเนื่อง


ยังไม่หมดเพียงแค่นั้น สำหรับนโยบายที่รัฐบาลทำให้กับเกษตรกรกาแฟ รัฐบาลเวียดนามยังเปิดเสรีการลงทุนในภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมแปรรูป โดยการดึงทุนต่างชาติ (FDI) เข้าประเทศ ปั้นห่วงโซ่กาแฟให้ครบวงจรที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้มีบริษัทระดับโลกเข้ามาตั้งโรงงาน เช่น โรงสกัดกาแฟสำเร็จรูป โรงคั่วเชิงอุตสาหกรรม และโรงงานเพิ่มมูลค่ารูปแบบต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้ ทำให้เกิดผลดีหลายด้าน เช่น มีการแปรรูปในประเทศมากขึ้น ทำให้มีมูลค่าเพิ่มยิ่งขึ้น ก่อเกิดองค์ความรู้ใหม่ ๆ ส่งกลับถึงเกษตรกร และผู้ซื้อทั่วโลกเห็นว่าเวียดนามมีห่วงโซ่การผลิตที่เชื่อถือได้ ทำให้เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่มี value chain ของกาแฟครบวงจรที่สุด


เมื่อเรามองทุกองค์ประกอบตั้งแต่สวนกาแฟจนถึงท่าเรือ จะเห็นได้ว่าการส่งออกกาแฟของเวียดนามที่เพิ่มขึ้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลจากกลยุทธ์ในระดับชาติ ที่วางระบบไว้อย่างรอบด้านโดยภาครัฐฯ คือ รัฐฯ ช่วยฟื้นฟูสวนกาแฟ รัฐฯ ทำโลจิสติกส์ได้แข็งแกร่ง รัฐฯ เปิดตลาดโลกด้วย FTA รัฐฯ ยกระดับมาตรฐานสินค้า รัฐฯ ดึงผู้เล่นต่างประเทศเข้ามาสร้าง value chain

ทั้งหมดนี้ทำให้ประเทศเวียดนามอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ใช่แค่ผู้เล่นรายใหญ่ แต่คือผู้กำหนดจังหวะตลาด Robusta ของโลก และในสายตาของผู้เล่นในอุตสาหกรรมกาแฟ นี่คือประเทศที่ควรศึกษาโมเดลเป็นอย่างยิ่ง เพราะการเติบโตที่เรากำลังเห็นอยู่นี้ ไม่ใช่แค่การส่งออกเพิ่มขึ้น แต่คือการสร้าง ecosystem ที่ยั่งยืนในระยะยาว



เป็นนิตยสารรายสองเดือน ที่จัดพิมพ์ขึ้นเพื่อเป็นการส่งผ่านความรู้ทางด้านกาแฟ

และเสริมมุมความคิดในด้านธุรกิจกาแฟ

- - -

Facebook : Coffee Traveler

Youtube : Coffee Traveler

bottom of page