top of page

ไทย – ลาว จากไร่ฝิ่นสู่ไร่กาแฟ เส้นทางสองข้างภูเขาที่กำลังมาบรรจบกัน

ree

ในโลกกาแฟ มีเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ในแก้วเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของดิน ฟ้า อากาศ ผู้คน และการเปลี่ยนแปลง และหนึ่งในเรื่องราวที่น่าสนใจที่สุด ก็คือการเดินทางของชุมชนบนภูเขา จากวันที่ “ฝิ่น” คือพืชเศรษฐกิจหลัก สู่วันที่ “กาแฟ” กลายเป็นรากฐานใหม่ของชีวิต ประเทศไทยเคยผ่านจุดนี้มาแล้ว ส่วนประเทศลาวก็กำลังอยู่ระหว่างการเดินทางบนเส้นทางเดียวกัน และนี่คือบทสะท้อนของสองประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีจุดเริ่มต้นใกล้กัน แต่ต่างกันที่ระยะทางและเวลา


ตลอดช่วงศตวรรษที่ผ่านมา พื้นที่บนภูเขาสูงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่ เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน จนถึงพงสาลี หัวพัน หลวงพระบางของลาว เคยเป็นพื้นที่ปลูกฝิ่นที่สำคัญของภูมิภาค ด้วยเหตุผลที่เหมือนกันทุกข้อ คือเป็นพื้นที่ลาดชัน ทำให้ปลูกพืชอื่นยาก มีความจนเป็นตัวกำหนด ทำให้ชุมชนต้องเลือกพืชที่ขายได้ราคา ขาดโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน  หรือไม่มีตลาดสำหรับพืชเกษตรอื่นที่มั่นคง ทำให้ฝิ่นเป็นพืชตัวเดียวของหลายหมู่บ้าน เป็นเส้นเลือดหลักของครัวเรือน ที่ถึงแม้จะเป็นพืชผิดกฎหมายก็ตาม แต่ก็เป็นโอกาสเดียวที่มีอยู่ ณ เวลานั้นของไทย และเวลานี้ของลาว จึงทำให้ไทยและลาว ต่างเริ่มต้นจากจุดเดียวกัน คือ ภูเขาสูง ความยากจน และการพึ่งพาพืชเสพติด


จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงสำหรับประเทศไทย ก็คือเมื่อกาแฟกลายเป็นคำตอบให้กับประเทศไทยผ่านโครงการหลวง ที่พ่อหลวง ร 9 ได้จุดประกายการเปลี่ยนเป็นโลกกาแฟบนดอย ในราวปี พ.ศ. 2512 ซึ่งนับเป็นจุดเปลี่ยนครั้งประวัติศาสตร์ เมื่อ “โครงการหลวง (Royal Project)” เริ่มทำงานกับชุมชนบนดอย เพื่อเปลี่ยนจากการปราบปรามฝิ่น ไปเป็นสร้างทางเลือกใหม่ที่ยั่งยืนกว่า


กาแฟสายพันธุ์อาราบิกาจึงกลายมาเป็นคำตอบ ด้วยเหตุผล คือ เหมาะกับอากาศเย็น ปลูกในภูเขาสูงได้ดี สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ และมีตลาดรองรับ ไม่นานหลังจากวันนั้น ชุมชนที่เคยปลูกฝิ่น จึงเริ่มหันมาปลูกกาแฟอย่างจริงจัง จนเกิดไร่กาแฟที่โด่งดังเฉกเช่นในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็น ดอยตุง, ดอยช้าง, ดอยสะเก็ด, แม่กำปอง หรือแม่แจ่ม ซึ่งเป็นสิ่งที่พ่อหลวง ร. 9 ได้สร้างไว้ให้กับลูกๆ ของท่าน ให้ได้มีอาชีพจนถึงทุกวันนี้


วันนี้ประเทศลาวกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนประวัติศาสตร์เช่นเดียวกัน โดยในปี 2017–2025 ลาวเริ่มโครงการ Opium Replacement Project ร่วมกับ UN ที่เปลี่ยนชาวบ้านกว่า 800 ครัวเรือน ในแขวงหัวพัน ทางตอนเหนือของลาว ให้เปลี่ยนจากการปลูกฝิ่นมาเป็นไร่กาแฟ ในพื้นที่กว่า 800 เฮกตาร์ โครงการนี้ดำเนินการใน 38 หมู่บ้านทั่วจังหวัด เพื่อมอบทางเลือกที่ยั่งยืนแทนการปลูกฝิ่น ผ่านการพัฒนาอาชีพ ความมั่นคงทางอาหารที่ดีขึ้น และยังมีบริการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 ถึง พ.ศ. 2568  โดยชาวบ้านจะได้รับมอบเมล็ดพันธุ์อาราบิกา ปุ๋ยออร์แกนิก สร้างโรงตาก สอนระบบการทำเกษตร ให้ทุนสนับสนุนโรงคั่วกาแฟ โรงอบแห้ง และอ่างเก็บน้ำใน 12 หมู่บ้าน ตั้งแต่ปี 2564 ถึง 2568 พร้อมกับการพัฒนาชุมชนไปพร้อม ๆ กัน จนมีผลลัพธ์ที่เริ่มชัดเจน ทำให้ลาวมีการส่งออกกาแฟจากโครงการนี้หลายตู้คอนเทนเนอร์ สามารถสร้างรายได้กว่า 1.37 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 

 

ย้อนกลับมาที่ประเทศไทย กับคำถามที่ชวนคิดกันว่า ทำไมไทยถึงทำได้สำเร็จ จนวันนี้แทบจะไม่มีไร่ฝิ่นหลงเหลือให้ได้เห็นอีกแล้ว เพราะมีหลักสำคัญ คือ การพัฒนาที่ต่อเนื่องยาวนานมามากกว่า 50 ปี ประเทศไทยไม่ได้ทำแบบโครงการสั้น ๆ แต่เน้นสร้างระบบระยะยาว โดยนักเกษตร นักวิจัย และผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งลงพื้นที่อย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างความเชื่อใจระหว่างรัฐฯ กับชุมชน ข้อต่อมาคือ ไทยสร้างระบบกาแฟครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ คือไม่ใช่แค่สอนให้ปลูก แต่สอนให้ผลิตอย่างมีคุณภาพ และสร้างตลาดให้รองรับผลผลิตนั้น


ประเทศไทยผูกกาแฟเข้ากับการท่องเที่ยวบนดอยได้อย่างทรงพลัง นี่คือความสำเร็จที่โดดเด่นที่สุด ตั้งแต่ ดอยตุง แม่กำปอง ดอยช้าง และอีกหลายแหล่งปลูก ที่กลายเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว ที่เมื่อขึ้นมาเที่ยวก็ต้องซื้อเมล็ดกาแฟและแชร์เรื่องราว จนเกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจของชุมชน ทำให้กาแฟไม่ใช่เป็นแค่สินค้า แต่เป็นวัฒนธรรม เป็นประสบการณ์การท่องเที่ยวที่น่าจดจำ ข้อสุดท้ายคือความมั่นคงทางนโยบาย รัฐบาลไทยวางนโยบายพืชทดแทนฝิ่นตั้งแต่ช่วง พ.ศ. 2503 ต่อเนื่องยาวนานมาจนถึงทุกวันนี้ ทั้งหมดนี้จึงถูกหลอมรวมด้วยกาลเวลา จนเป็นเหตุผลที่ไทยเปลี่ยนจากฝิ่นเป็นกาแฟได้สำเร็จ และลาวกำลังอยู่ในจุดที่ไทยเคยยืนเมื่อ 40–50 ปีก่อน เป็นเส้นทางเดียวกัน แต่ต่างกันคนละช่วงเวลาเท่านั้น


Photo Credit : Coffee Traveler
Photo Credit : Coffee Traveler
Photo Credit : Coffee Traveler
Photo Credit : Coffee Traveler

ประเทศลาววันนี้ มีจุดเริ่มต้นที่เต็มไปด้วยศักยภาพ เพราะลาวมีทุกอย่างที่กาแฟดีต้องการ มีพื้นที่สูง มีแสงแดดที่เหมาะสม มีดินภูเขาที่อุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะที่ราบสูงโบลาเวน (Bolaven Plateau) ที่คนกาแฟทั่วโลก ต่างยกให้เป็นหนึ่งในแหล่งปลูกที่น่าจับตาที่สุดอีกแหล่งหนึ่งในเอเชีย


จุดแข็งที่ประเทศลาวมีคือกาแฟมีรสชาติที่ซับซ้อน กำลังมีเรื่องราวของการเปลี่ยนจากปลูกฝิ่นมาเป็นการปลูกกาแฟที่น่าศึกษาในเรื่องราวของมัน มีแหล่งปลูกที่อุดมสมบูรณ์ และมีค่าแรงและต้นทุนที่เอื้อต่อการผลิต แต่สิ่งที่ยังเป็นความท้าทายสำคัญ ที่สามารถถอดบทเรียนจากประเทศไทยก็คือ การพัฒนาแบบระยะยาว เพราะกาแฟไม่ใช่พืชที่สำเร็จภายในสองสามปี แต่ต้องการการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง Ecosystem สำคัญกว่าปริมาณผลผลิต ต้องพัฒนาสายพันธุ์ การแปรรูป การตลาด ไปในจังหวะเดียวกัน รวมถึง Coffee Tourism ที่จะสามารถช่วยยกระดับทั้งชุมชน เพราะถ้าลาวสร้างโมเดลแบบแม่กำปองหรือดอยตุงได้ กาแฟก็จะสร้างรายได้ที่มากกว่าการขายเมล็ดเพียงอย่างเดียว ส่วนความร่วมมือกับไทยในตอนนี้ ที่เป็นสัญญานที่ดีคือ ความร่วมมือข้ามพรมแดน ไทย–ลาว ที่สามารถร่วมกันผลักดันกาแฟให้เป็นหนึ่งใน origin ที่สำคัญของโลก ไม่ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ การแปรรูป หรือการตลาดในระดับสากล


กาแฟทำให้เราต้องหันกลับมามองภูเขาและยอดดอยกันใหม่อีกครั้ง เพราะมันไม่ใช่เป็นเพียงพืช แต่เป็นความหวังของผู้คนเป็นสะพานจากอดีตที่ยากลำบาก ไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนกว่า ประเทศไทยเดินบนเส้นทางนี้มาแล้วกว่า 50 ปี และพิสูจน์แล้วว่า กาแฟเปลี่ยนชีวิตคนบนดอยได้จริง และประเทศลาวก็กำลังสร้างเรื่องราวที่โลกกาแฟต้องการเห็นมันมากที่สุด เพราะในทุกแก้วกาแฟ ย่อมมีเรื่องราวของผู้ปลูก ของชุมชน และการเดินทาง ที่วันนี้ไทยส่งต่อประสบการณ์ต่าง ๆ ให้กับเพื่อนบ้านอย่างลาว เพื่อร่วมกันสร้างอนาคตกาแฟให้เป็นที่น่าจับตายิ่งขึ้นกว่าเดิม



เป็นนิตยสารรายสองเดือน ที่จัดพิมพ์ขึ้นเพื่อเป็นการส่งผ่านความรู้ทางด้านกาแฟ

และเสริมมุมความคิดในด้านธุรกิจกาแฟ

- - -

Facebook : Coffee Traveler

Youtube : Coffee Traveler

Comments


bottom of page