top of page

Shade grown Coffee

เมื่อ “กาแฟใต้ร่มไม้” จากยอดดอย กำลังเป็นความหวังใหม่ของโลกกาแฟ ถ้าเรารู้จักใช้มันให้เกิดประโยชน์


ท่ามกลางกระแสโลกที่เริ่มตั้งคำถามกับผลผลิตทางการเกษตรยุคอุตสาหกรรม ความเสื่อมโทรมของป่าไม้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และราคาที่กดทับเกษตรกร แต่สิ่งที่เป็นคำตอบสำหรับวงการกาแฟ กลับไม่ใช่เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย หากแต่เป็นวิธีการปลูกแบบดั้งเดิมที่มนุษย์ทำมานานกว่าร้อยปี ซึ่งก็คือระบบการปลูกแบบ Shade grown หรือการปลูกกาแฟใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่


ในช่วง 1–2 ปีที่ผ่านมา มีรายงานวิจัยหลายฉบับถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก โดยชี้ให้เห็นว่ากาแฟ Shade grown นั้น มีศักยภาพในการเก็บกักคาร์บอนและฟื้นฟูระบบนิเวศได้สูงกว่าที่ตลาดประเมิน แต่กลับได้รับมูลค่าต่ำในระบบคาร์บอนเครดิต จนเกิดเป็นกระแสเรียกร้องต่อวงการกาแฟโลกว่า กาแฟที่ยั่งยืน ควรได้รับราคาที่สะท้อนความยั่งยืนอย่างแท้จริง


Photo Credit : Coffee Traveler
Photo Credit : Coffee Traveler

และนี่คือจุดที่กาแฟจากยอดดอยของไทย อาจเข้าไปอยู่ใน spotlight ของคนทั่วโลกได้ ไม่ใช่เพราะปริมาณการผลิต แต่เพราะ “รากวัฒนธรรม” ที่ทำให้ Shade grown ไม่ใช่แค่เทคนิค แต่เป็นวิถีชีวิต


เพราะวันนี้ โลกกำลังมองหากาแฟที่ยั่งยืน ไม่ใช่แค่กาแฟที่อร่อย ในปี 2025 มีงานวิจัยจากสถาบันด้านป่าไม้และการเกษตรหลายแห่งในอเมริกาใต้และแอฟริกาได้สรุปผลที่สอดคล้องกันว่า กาแฟที่ปลูกในร่มไม้ มีระดับคาร์บอนกักเก็บสูงกว่า มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง มีปริมาณของนกที่เป็นผู้ควบคุมแมลงศัตรูพืชมากกว่า และดินที่อุ้มน้ำและฟื้นตัวได้ดีในระยะยาว

แต่ประเด็นที่ทำให้ข่าวนี้โด่งดังคือผลสรุปว่า ตลาดคาร์บอนโลกประเมินมูลค่าของ Shade grown ต่ำเกินจริงอย่างมาก

หมายความว่าเกษตรกรในประเทศผู้ผลิต เช่น โคลอมเบีย เปรู เอธิโอเปีย และอินโดนีเซีย ควรจะได้รับผลตอบแทนจากการทำเกษตรยั่งยืนสูงกว่าปัจจุบันมาก แต่ระบบตลาดยังไม่รองรับอย่างเหมาะสม นี่อาจกลายเป็นสัญญาณชัดเจนว่าโลกกาแฟกำลังก้าวสู่ “ยุคของความยั่งยืนที่ตรวจสอบได้” และระบบ Shade grown อาจกลายเป็นหัวใจของบทสนทนาใหม่นี้


หากสรุปง่ายที่สุด Shade grown คือกาแฟที่ปลูกใต้เงาของไม้สูง ไม่ว่าจะเป็นป่าเดิม ไม้ผล หรือไม้ร่วมปลูกชนิดอื่น เช่น แมคคาเดเมียหรืออโวคาโด ซึ่งเราคงรู้อยู่แล้วว่ามันมีข้อดีในการปลูกระบบนี้อย่างไร เช่น  ความเสถียรของระบบนิเวศ เพราะร่มไม้ช่วยควบคุมอุณหภูมิ ลดการคายน้ำ และป้องกันลมแรง ลดความเครียดของต้นกาแฟ มีรสชาติและคุณภาพที่ดีกว่า เพราะผลกาแฟสุกช้าขึ้น ทำให้น้ำตาลสะสมสูง กาแฟจึงหวานและซับซ้อนกว่า ในประเด็นนี้ มีเกษตรกรของไทยหลายพื้นที่ยังไม่เข้าใจ ยังดีใจเมื่อกาแฟสุกก่อนใคร เพราะพวกเขาคิดว่าสุกก่อนได้เงินก่อน  ช่วยลดต้นทุนปุ๋ยเคมี เพราะใบไม้ที่ร่วงกลายเป็นอินทรียวัตถุในดินอย่างเป็นธรรมชาติ สุดท้ายคือดีต่อสัตว์ป่า ระบบ Shade grown เป็นแหล่งอาหารของนก แมลง และสิ่งมีชีวิตที่ช่วยควบคุมศัตรูพืช


หลายประเทศจึงพยายามฟื้นระบบ Shade grown กลับมา หลังจากหันไปปลูกในที่โล่ง กลางแดด เพื่อเพิ่มผลผลิต แต่ต้องแลกด้วยปัญหาด้านดินและโรคระบาด เหมือนหลายแหล่งปลูกของไทยที่กำลังเกิดปัญหาแบบนี้เช่นเดียวกัน



Photo Credit : Coffee Traveler


แต่เรื่องที่น่าสนใจและน่าภูมิใจก็คือ ระบบปลูกในประเทศไทยส่วนใหญ่ไม่เคยละทิ้ง Shade grown เลยตั้งแต่วันแรก ระบบการปลูกกาแฟ Shade grown ของไทย ไม่ใช่แค่เทคนิค แต่เป็นวัฒนธรรมบนดอย เช่น ที่แหล่งปลูกในภาคเหนือของไทบหลายแหล่งปลูก ในเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน เชียงราย ต่างก็มีลักษณะภูมิประเทศที่สำคัญมาก เป็นพื้นที่สูงและเป็นผืนป่า ดังนั้นชุมชนบนดอย เช่น ชาวกะเหรี่ยง ม้ง ลาหู่ จึงใช้ระบบวนเกษตร (Agroforestry) มาโดยตลอด กาแฟที่ปลูกบนดอยจึงปลูกใต้ร่มไม้ตามธรรมชาติ ปลูกคู่กับพืชอื่น เช่น แมคคาเดเมีย ลูกพลับ มะม่วงป่า และรากฝังในระบบชุมชน ไม่ใช่ฟาร์มเชิงอุตสาหกรรม จึงทำให้กาแฟ Shade grown ของไทยแตกต่างจากหลายประเทศ เพราะเราไม่ได้สร้าง Shade grown ขึ้นใหม่ แต่มันเติบโตมาพร้อมกัน ระหว่างต้นกาแฟและวัฒนธรรมชุมชน ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้กาแฟ Shade grown ในแหล่งปลูกภาคเหนือกลายเป็นหนึ่งในโมเดลการผลิตที่เป็นธรรมชาติที่สุดในโลก


เพื่อทำให้เห็นภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้น เราสามารถเปรียบเทียบในด้านต่าง ๆ ระหว่างการปลูกแบบ Shade grown ในแหล่งปลูกของไทยที่มีมาแต่ดั้งเดิมกับงานวิจัยที่ออกมาในหลายด้าน เช่น  ในเรื่องของรสชาติ (Flavor Profile) ที่งานวิจัยชี้ว่า การปลูกในระบบ Shade grown ทำให้ผลกาแฟสุกช้าลง จึงทำให้ acidity ดีกว่า sweetness สูงขึ้น ซึ่งไทยเอง หลายแหล่งปลูกก็มีอากาศที่เย็น มีร่มเงาธรรมชาติ ทำให้ sweetness ชัดเจน มีโปรไฟล์ที่โดดเด่น เช่น floral, honey, tropical, tea-like acidity และมีเอกลักษณ์ทางรสชาติแบบกาแฟป่าอย่างเห็นได้ชัด และเรื่องของสังคมและวัฒนธรรม (Social Impact) ที่งานวิจัยบอกว่า มีหลายพื้นที่ต้องสอนเกษตรกรใหม่ เพื่อสร้างระบบ Shade grown แต่สำหรับไทยเอง กลับมีชุมชนบนดอยที่ทำมานานกว่า และพร้อมเข้าสู่ระบบ Specialty และความยั่งยืนได้ทันที รวมถึงระบบอื่นๆ ที่งานวิจัยชี้ เช่น เรื่องของ ระบบนิเวศ, เศรษฐกิจ เป็นต้น



Photo Credit : Coffee Traveler


บทบาทของไทยอาจไม่ได้อยู่ที่ปริมาณการผลิต แต่อาจอยู่ที่คุณค่าที่เหนือกว่าตัวเมล็ดกาแฟ เพราะกาแฟของไทยมีโอกาสสร้างแบรนด์ในประเด็นเหล่านี้ได้ว่า “Shade-grown Coffee Thailand = Eco-friendly Coffee ” เพราะโลกกาแฟกำลังตามหาเรื่องแบบนี้อยู่


เพราะการปลูกในระบบ Shade grown ไม่ใช่แค่กาแฟ แต่เป็นเรื่องราวของป่าและผู้คน และกาแฟไทยที่ปลูกใต้ร่มไม้ก็ไม่ใช่เทรนด์ใหม่ของบ้านเรา แต่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่เกิดจากภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นการอยู่ร่วมกันระหว่างกาแฟ ป่า น้ำ และชุมชน ในขณะที่โลกเพิ่งเริ่มตระหนักว่า Shade grown คือความหวังใหม่ของระบบอาหารที่ยั่งยืน แต่สำหรับประเทศไทยกลับมีจุดเริ่มต้นที่ดีกว่าหลายประเทศ เพราะเราเริ่มต้นแบบยั่งยืนมาตั้งแต่แรก กาแฟในถ้วยจึงไม่ใช่แค่รสชาติ แต่สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติที่ลึกซึ้งได้อย่างชัดเจนนั่นเอง



เป็นนิตยสารรายสองเดือน ที่จัดพิมพ์ขึ้นเพื่อเป็นการส่งผ่านความรู้ทางด้านกาแฟ

และเสริมมุมความคิดในด้านธุรกิจกาแฟ

- - -

Facebook : Coffee Traveler

Youtube : Coffee Traveler

Comments


bottom of page