กาแฟนอก Coffee Belt งานวิจัยใหม่กับความเป็นไปได้ของประเทศไทย ในยุคเปลี่ยนผ่านของโลกกาแฟ
- coffeetravelermag
- 5 days ago
- 2 min read

โลกกาแฟกำลังถึงจุดเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็ว และหนึ่งในปรากฏการณ์ที่สำคัญที่สุดคือ “การขยายพื้นที่ปลูกกาแฟออกนอกเขต Coffee Belt” ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในทวีปยุโรป เอเชีย และตะวันออกกลาง โดยได้รับแรงผลักดันจากสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้น เทคโนโลยีใหม่ ๆ ด้านการเกษตร และความต้องการตลาดของ specialty coffee ที่เปิดกว้างกว่าเดิม
งานวิจัยในประเด็นเรื่อง Expanding Coffee Cultivation Beyond Traditional Boundaries (Abdelzaher, 2025) ได้รวบรวมหลักฐานทางวิทยาศาสตร์หลายด้าน ทั้งด้านภูมิอากาศ การปลูก การปรับตัวของสายพันธุ์ การจัดการฟาร์ม และความยั่งยืน เพื่อวิเคราะห์ว่า “โลกกาแฟแบบใหม่” กำลังจะเป็นอย่างไร เมื่อการปลูกไม่ได้จำกัดอยู่ในละติจูดเดิมอีกต่อไป
บทความนี้เราจะสรุปสาระสำคัญจากงานวิจัย พร้อมกับวิเคราะห์ความเป็นไปได้ที่ประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้ผลิตกาแฟอาราบิกาในเขตรอยต่อ Coffee Belt จะกลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นสำคัญ ในยุคการปลูกกาแฟแบบใหม่ได้หรือไม่

งานวิจัยชี้ว่ามีปัจจัยหลัก 3 ด้าน ที่ผลักดันให้เกิดการขยายพื้นที่ปลูกใหม่ ๆ อันดับแรกคือการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Shift) เพราะอุณหภูมิเฉลี่ยในหลายพื้นที่ของบราซิล โคลอมเบีย และเอธิโอเปียสูงขึ้นต่อเนื่อง กาแฟอาราบิกาซึ่งเป็นกาแฟที่บอบบาง ละเอียดอ่อน ก็เริ่มประสบปัญหากับอุณหภูมิที่สูงเกินความเหมาะสม มีพื้นที่ที่เคยปลูกได้ดีเริ่มไม่เหมาะสม แต่ในขณะที่พื้นที่ใหม่ในละติจูดสูงขึ้นกลับเริ่มพอดี
ความต้องการ Specialty Coffee เพิ่มสูงขึ้น ตลาดต้องการรสชาติใหม่ ๆ และ origin ใหม่ ๆ ทำให้การทดลองปลูกในพื้นที่ใหม่ เช่น จีนตอนเหนือ ญี่ปุ่นตอนกลาง ตุรกี หรือในอเมริกาภาคใต้ กลายเป็นโอกาสแทนที่จะเป็นความเสี่ยง และประเด็นสุดท้ายคือเรื่องของเทคโนโลยีทางการเกษตรสมัยใหม่ งานวิจัยแสดงให้เห็นว่า เทคโนโลยีต่อไปนี้ช่วยลดข้อจำกัดของการปลูกนอกเขตดั้งเดิม ซึ่งก็คือ Precision agriculture (เซ็นเซอร์, การจัดการน้ำ/ปุ๋ยเฉพาะจุด), Greenhouse coffee / shade management , Agroforestry และระบบผสมผสานของการปลูกต้นไม้ และสายพันธุ์ที่ทนแล้ง ทนโรค จากโครงการ World Coffee Research (WCR)

ในงานวิจัยสรุปไว้ว่า การปลูกนอก Coffee Belt มีความเป็นไปได้จริง แต่ก็พบทั้งโอกาสและอุปสรรคเหมือน ๆ กัน สำหรับโอกาสนั้น งานวิจัยชี้ว่า มันสามารถสร้างรสชาติใหม่ที่แตกต่างจาก origin เดิมได้ ลดแรงกดดันจากสภาพอากาศที่รุนแรงในประเทศผลิตหลัก การเปิดตลาด specialty แบบ “new entrants” จากประเทศใหม่ ๆ และเพิ่มความหลากหลายของซัพพลาย ลดความเสี่ยงขาดแคลนในอนาคต และสำหรับความท้าทายที่เหมือนจะเป็นอุปสรรคนั้น งานวิจัยบอกว่า มันจำเป็นที่จะต้องลงทุนสูงกว่า เช่น โรงอบ, โรงแปรรูป, ระบบน้ำ ต้องมีสายพันธุ์ต้านโรค ที่เหมาะกับพื้นที่ใหม่ มีช่วงเวลาที่จะต้องทดลองหลายปีก่อนให้ผลผลิตคงที่ และสุดท้ายคือผู้ผลิตยังขาดความรู้เรื่องการจัดการแปลงที่ซับซ้อนกว่าเขตเดิม
แล้วถ้าเป็นประเทศไทย เรามีศักยภาพที่จะสามารถปลูกกาแฟนอกเขตเดิมได้หรือไม่ คำตอบคือ เรามีศักยภาพสูงกว่าหลายประเทศที่กำลังทดลองอยู่ในตอนนี้ ด้วยเหตุผล 3 อย่าง คือ เรื่องของภูมิอากาศของไทยมี “microclimate” ที่เหมาะกับ Arabica แม้ประเทศไทยจะอยู่เหนือ Coffee Belt เดิมเล็กน้อย แต่พื้นที่สูงในภาคเหนือ มีเงื่อนไขใกล้เคียงกับแหล่งกำเนิดกาแฟในเอธิโอเปีย ด้วยอากาศที่เย็น (10–22°C), ด้วยความสูงตั้งแต่ 900–1,600 เมตรจากระดับน้ำทะเล ด้วยระบบไร่ป่าและป่าต้นน้ำที่เอื้อต่อ agroforestry และด้วยฤดูหนาวหรือฤดูแล้งที่เหมาะกับการพัฒนาเมล็ดกาแฟ และนี่คือสิ่งที่ไทยมี
สำหรับพื้นที่ภาคกลางและภาคใต้บางส่วนก็เริ่มเข้าสู่ช่วงเหมาะสมสำหรับ Robusta สายพันธุ์ใหม่ ๆ เช่นกัน เพราะในภาคใต้ เช่น ชุมพร ระนอง นครศรีธรรมราช เป็นแหล่งปลูกโรบัสตาคุณภาพดีอยู่แล้ว แต่สิ่งสำคัญคือ งานวิจัยชี้ว่าในอนาคต ชายฝั่งเอเชีย อาจเหมาะกับสายพันธุ์ทนร้อนรุ่นใหม่ เช่น Hybrids ของ India/CCRI และ WCR อย่างเช่นสายพันธุ์ S4594 (ทนแมลง stem borer) หรือ S5086 (F1 hybrid ต้านโรคแอนแทรคโนส) เป็นต้น ที่สามารถทำให้พื้นที่ที่ร้อนชื้นของภาคใต้ สามารถผลิตกาแฟคุณภาพสูงขึ้นกว่าเดิมได้
สำคัญกว่านั้น คือประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานหลังการเก็บเกี่ยวดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นี่จึงเป็นจุดที่งานวิจัยเน้นมาก เพราะพื้นที่ใหม่จะปลูกได้ แต่จะประสบความสำเร็จต้องมี post harvest + know how ที่ดี และถ้าเอาประเทศไทยมาเปรียบเทียบกับข้อกำหนดของงานวิจัยแล้ว ประเทศไทยมีโรงแปรรูปแบบต่าง ๆ มากมายตั้งแต่ fully washed, honey หรือanaerobic มีโรงคั่วและผู้เชี่ยวชาญ sensory ในระดับโลก มีฟาร์มที่ทำ experimental lot ได้จริง มีกลุ่มที่ศึกษาวิจัยด้าน fermentation ทั้งภาคเอกชนและภาครัฐฯ และมีความต้องการตลาด specialty ในประเทศที่เติบโตแรง ถ้าดูจากข้อกำหนดต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้ไทยดูพร้อมกว่าประเทศที่กำลังพัฒนา origin ใหม่ เช่น ตุรกี จีน หรืออิตาลีตอนใต้
เมื่อวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการขยายการปลูกไปที่นอก Coffee Belt ในประเทศไทย ด้วยโซนที่มีศักยภาพสูงสุด ถ้าเราไล่เรียงมาตั้งแต่ภาคเหนือ อย่างเชียงใหม่, เชียงราย, หรือน่าน เหมาะสำหรับอาราบิกาคุณภาพ ภาคตะวันตก เช่น เพชรบุรี, ประจวบ, กาญจนบุรี สามารถสร้าง Potential new zone สำหรับ Robusta specialty ได้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่นที่เลยหรือเพชรบูรณ์ ที่มีความสูงและอากาศหนาว ก็เหมาะที่จะเป็น “new experimental zone” ได้ในอนาคต โดยเฉพาะ Arabica hybrids ที่ทนร้อนและทนแล้ง สำหรับภาคใต้ตอนบน ชุมพร ระนอง นครศรีธรรมราช ก็สามารถผลิต Robusta specialty หรือ Fine Robusta โดยใช้สายพันธุ์ทนโรค และระบบ agroforestry ได้เช่นกัน
งานวิจัยชิ้นนี้ชี้ให้เราเห็นว่า ประเทศที่มีสภาพภูมิอากาศเฉพาะในพื้นที่กับเทคโนโลยีและความรู้เฉพาะด้าน ก็สามารถที่จะเป็นผู้นำตลาดกาแฟใหม่ในอนาคตได้ เพราะประเทศไทยมีครบทั้ง 3 อย่าง คือมีสภาพภูมิอากาศเหมาะสมในหลายพื้นที่ มีโครงสร้างพื้นฐานด้านการแปรรูปที่พัฒนาไปไกลแล้ว และมี Demand Specialty ที่เติบโต มีผู้คั่ว มีบาริสตาระดับโลกอยู่ในประเทศ ดังนั้น กาแฟนอก Coffee Belt จึงไม่ได้เป็นแค่แนวคิดเชิงวิชาการ แต่อาจเป็นโอกาสจริงของไทยในการยกระดับอุตสาหกรรมกาแฟสู่ระดับภูมิภาคได้
เป็นนิตยสารรายสองเดือน ที่จัดพิมพ์ขึ้นเพื่อเป็นการส่งผ่านความรู้ทางด้านกาแฟ
และเสริมมุมความคิดในด้านธุรกิจกาแฟ
- - -
Facebook : Coffee Traveler
Instagram : coffeetraveler_magazine
Youtube : Coffee Traveler
Blockdit : I am Coffee Traveler / coffeetravelermag



Comments