กาแฟแคปซูล พลาสติกใช้ครั้งเดียวที่กำลังสร้างปัญหาให้กับโลก
- coffeetravelermag
- 2 days ago
- 1 min read
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “แคปซูลกาแฟ” (coffee capsules / pods) กลายเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนของพลาสติกและวัสดุแบบใช้ครั้งเดียว (single-use) ที่กำลังส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของขยะพลาสติก อะลูมิเนียม และวัสดุผสมอื่น ๆ ที่ยากต่อการจัดการเมื่อจบอายุการใช้งาน
ตลาดกาแฟแคปซูลขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยมีการคาดการณ์ว่าตลาดทั่วโลกจะมีมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์ภายในกลางทศวรรษนี้ และมีแนวโน้มการใช้ที่เติบโตอยู่ในภูมิภาคเอเชียอีกด้วย เช่น จีนและเกาหลีใต้ รวมถึงในประเทศไทย โดยเฉพาะตามโรงแรมต่าง ๆ ที่มักใช้กาแฟแคปซูลไว้บริการลูกค้า

จากรายงานระบุว่า ขยะจากแคปซูลกาแฟทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 576,000 เมตริกตันต่อปี ซึ่งเปรียบเทียบได้กับน้ำหนักของรถโรงเรียนกว่า 4,400 คัน หรือประมาณ 2 หมื่นล้านแคปซูล ซึ่งเทียบเท่ากับระยะทางรอบโลก 14 รอบ ในบางบทความยังระบุว่าถ้าเปรียบเทียบต่อ 1 ถ้วยกาแฟ แคปซูลปล่อยคาร์บอน (CO₂) ราว 200 ถึง 644 กรัมต่อถ้วย ดังนั้น แม้จะสะดวก แต่จำนวนมหาศาลของขยะที่เกิดขึ้นนั้น กลับมาสร้างภาระต่อระบบจัดการขยะและสิ่งแวดล้อมอย่างชัดเจน
หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้แคปซูลกาแฟกลายเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมคือวัสดุที่ใช้ผลิต ซึ่งมักเป็น พลาสติก + อะลูมิเนียม + ฟิล์มหลายชั้น ซึ่งเป็นวัสดุผสม และยากต่อการแยกรีไซเคิล
งานวิจัยของ LCA (life-cycle assessment) จากอิตาลีที่วิเคราะห์ระบบการบริโภคกาแฟในหลายรูปแบบ รวมถึงกาแฟแคปซูล พบว่า ระบบแคปซูล/แผ่น (pad/capsule) มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสูงกว่าวิธีทั่วไป เช่น บรรจุในถุงหลายชั้น (multilayer bags) อย่างมีนัยสำคัญ โดยวัดตามคะแนน PEF (product environmental footprint) หรือกรอบการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมแบบครบวงจร โดยยกตัวอย่าง เช่น สำหรับการต้มกาแฟแบบใช้ถุงหลายชั้น (multilayer bags) ผลกระทบ PEF อยู่ที่ประมาณ 613 ±10 nPt /ถ้วย (normalized points หรือคะแนนรวมที่ผ่านการ "ทำให้เป็นมาตรฐาน" เพื่อให้เปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ต่างชนิดกัน คะแนนน้อย = ผลกระทบสิ่งแวดล้อมต่ำ คะแนนสูง = ผลกระทบสิ่งแวดล้อมสูงกว่า) ในขณะที่แบบแคปซูลพีพี (PP) อยู่ที่ประมาณ 2,777 ± 23 nPt /ถ้วย ซึ่งนั่นหมายความว่า แม้ปริมาณกาแฟที่ใช้อาจน้อยลง แต่เมื่อพิจารณาวัสดุ ภาชนะ และการจัดการขยะแล้ว แคปซูลกลับมี “ภาระต่อสิ่งแวดล้อม” ที่ใหญ่กว่าวิธีดั้งเดิมหลายเท่า
และถึงแม้บริษัทผู้ผลิตบางแห่ง จะจัดโปรแกรมรีไซเคิล เช่น Nespresso ที่ตั้งระบบรับคืนแคปซูลแล้ว แต่อัตราการรีไซเคิลจริงยังต่ำมาก เพราะจากข้อมูลในวิกิพีเดียพบว่า Nespresso ได้รับการรีไซเคิลของแคปซูลทั่วโลกเพียง 24.6% เท่านั้น และยังมีอีกหนึ่งกรณีของ Keurig (บริษัทเครื่องดื่มและอุปกรณ์กาแฟสัญชาติอเมริกัน) ที่ถูกวิจารณ์ว่า แคปซูล “K-Cup” ของตนทำจากพลาสติกหมายเลข #7 ซึ่งในหลายพื้นที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ และมีขนาดที่เล็ก จึงส่งผลให้หลุดการคัดแยกของศูนย์จัดการขยะอีกด้วย

ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับแคปชูลยังมีอีกหลายด้าน ตั้งแต่การเป็นขยะพลาสติก / อะลูมิเนียม เพราะแคปซูลใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง ซึ่งหมายถึงการก่อเกิดขยะวัสดุผสมจำนวนมาก ที่อาจถูกฝังกลบหรือลงทะเล และย่อยสลายได้ช้า เกิดคาร์บอนฟุตพรินต์ (CO₂) และการใช้ทรัพยากร งานวิจัยแสดงไว้ว่า การใช้แคปซูลมีการใช้ทรัพยากรน้ำ พลังงาน และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับวิธีดั้งเดิม สร้างไมโครพลาสติกและมลภาวะทางดินและน้ำ เนื่องจากวัสดุไม่ย่อยสลายง่าย ซึ่งใช้เวลาย่อยสลายในหลุมฝังกลบนานถึง 150 ถึง 500 ปี อาจปล่อยสารเคมีหรือไมโครพลาสติกสู่สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะหากไม่ได้จัดการอย่างเหมาะสม
มีงานวิจัยที่ทำการเปรียบเทียบวัสดุประเภทต่าง ๆ สำหรับแคปซูลกาแฟ พบว่า แคปซูลแบบย่อยสลายทางชีวภาพ (biodegradable/compostable) หรือวัสดุที่ออกแบบให้รีไซเคิลง่ายนั้น มีศักยภาพที่จะลดผลกระทบได้มากกว่าวัสดุแบบดั้งเดิม มีตัวอย่างหนึ่ง คืองานวิจัยในสหรัฐอเมริกา ที่วิเคราะห์แคปซูลพลาสติกและแคปซูลย่อยสลายได้ พบว่า แม้ว่าวัสดุพลาสติกและย่อยสลายได้จะมี “พลังงานฝังตัว (embodied energy)” คือมีปริมาณพลังงานทั้งหมดที่ถูกใช้ในการผลิตสินค้าหนึ่งชิ้น ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงจุดที่สินค้าพร้อมใช้งานนั้นใกล้เคียงกัน แต่ความแตกต่างที่แท้จริงเกิดขึ้นในส่วนของ จุดสิ้นสุดของอายุการใช้งาน (end-of-life) โดยการฝังกลบส่งผลกระทบร้ายแรงมากกว่า อีกด้านหนึ่ง งานวิจัยจาก TotalEnergies Corbion พบว่า แคปซูลพลาสติกชีวภาพ (bioplastic) ที่ย่อยสลายได้มีศักยภาพในการเป็น “ตัวเลือกที่ยั่งยืนที่สุด” เมื่อพิจารณาทั้งการปล่อยก๊าซและวงจร ซึ่งผู้บริโภคและภาคธุรกิจก็ยังสามารถเลือกทางเลือกอื่นที่จะสามารถลดขยะจากแคปซูลได้ เช่น ใช้เครื่องชงกาแฟที่ใช้กาแฟบดธรรมดา โดยลดการใช้ภาชนะแบบใช้ครั้งเดียว เลือกแคปซูลที่รีฟิลได้ (refillable) เลือกแคปซูลที่เข้าร่วมโปรแกรมรีไซเคิลได้จริง หรือตรวจสอบระบบรีไซเคิลได้ และส่งเสริมการสร้างระบบเก็บคืนของผู้ผลิต เพื่อเพิ่มอัตราการรีไซเคิล
แม้ว่าจะมีตัวเลือกที่ยั่งยืนกว่า แต่ก็ไม่ใช่ว่าวัสดุ “ย่อยสลายได้” จะเป็นคำตอบที่สมบูรณ์แบบ เพราะถ้าวัสดุเหล่านั้นถูกทิ้งในหลุมฝังกลบที่ไม่มีการจัดการอย่างเหมาะสม ก็อาจก่อให้เกิดก๊าซมีเทน (methane) ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกได้เช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ งานวิจัยยังพบว่า ถึงแม้แคปซูลจะใช้กาแฟในปริมาณน้อยกว่าวิธีอื่น ซึ่งอาจมีผลดีบางประการ แต่เมื่อคิดรวมวัสดุ + การผลิต + การจัดการขยะแล้ว ผลกระทบยังสูงกว่าวิธีอื่นในหลายกรณี อีกปัจจัยหนึ่งคือพฤติกรรมผู้บริโภค ถ้าแคปซูลถูกทิ้งแบบทั่วไป ไม่ถูกจัดแยก และไม่เข้าร่วมรีไซเคิล ก็ย่อมไม่มีประโยชน์จากโปรแกรมรีไซเคิล ที่ถึงแม้จะมีอยู่แล้วก็ตาม
กาแฟแคปซูลเป็นตัวอย่างสำคัญของพลาสติกหรือวัสดุใช้ครั้งเดียวที่ไม่จำเป็นอย่างแท้จริง เพราะแม้ว่าจะมอบความสะดวกสบาย แต่ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทั้งในแง่ขยะ ทรัพยากร และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกนั้นสูง โดยมีงานวิจัยหลายชิ้นจากทั่วโลกต่างยืนยันถึงปัญหานี้ แต่อย่างไรก็ดี ก็มีทางเลือกให้ลดผลกระทบได้ เช่น ใช้แคปซูลย่อยสลายได้จริง รีฟิลได้ หรือเปลี่ยนไปใช้วิธีชงแบบทั่วไป ที่สร้างขยะน้อยกว่า เพราะท้ายที่สุดแล้ว ความยั่งยืนไม่ใช่แค่ “วัสดุเปลี่ยน” แต่คือการมองวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ต้นจนจบ (cradle to grave) และการเลือกใช้ที่มีสำนึก ซึ่งสำหรับผู้ผลิตและผู้บริโภคในวงการกาแฟ นี่คือโอกาสในการสร้างความตระหนักรู้ และมองหาทางเลือกที่ดีกว่า
เป็นนิตยสารรายสองเดือน ที่จัดพิมพ์ขึ้นเพื่อเป็นการส่งผ่านความรู้ทางด้านกาแฟ
และเสริมมุมความคิดในด้านธุรกิจกาแฟ
- - -
Facebook : Coffee Traveler
Instagram : coffeetraveler_magazine
Youtube : Coffee Traveler
Blockdit : I am Coffee Traveler / coffeetravelermag



Comments