top of page

ขณะที่ราคากาแฟโลกกำลังพุ่ง ทำไม “Fair Trade” จึงยังมีความสำคัญด้วยระบบที่ยังเป็นตาข่ายนิรภัยให้เกษตรกรในวันที่ตลาดไม่แน่นอน

ree

โดยทั่วไป เมื่อราคากาแฟในตลาดโลกพุ่งสูง เรามักคิดกันว่าเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟคงจะได้รับประโยชน์มากขึ้น แต่ในความจริงอาจกลับตรงกันข้าม เพราะในขณะที่ราคาตลาดเพิ่มขึ้น ต้นทุนของเกษตรกรก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ทั้งค่าปุ๋ย แรงงาน และภาษีนำเข้าที่เกี่ยวข้องกับการแปรรูป


โลกของกาแฟกำลังเผชิญปรากฏการณ์ที่ดูเหมือนจะเป็นข่าวดี ที่ราคากาแฟในตลาดโลกทั้งอาราบิกาและโรบัสตาทะยานขึ้นสูงสุดในรอบกว่าสิบปี แต่ท่ามกลางความยินดีของตลาดและผู้ลงทุน กลับมีเสียงสะท้อนเบา ๆ จากต้นทาง ซึ่งก็คือเกษตรกรผู้ปลูกจากหลายล้านคนทั้งในแอฟริกาและละตินอเมริกาที่บอกว่าชีวิตของพวกเขาไม่ได้ดีขึ้น


Jérôme Delmas, Managing Director of Fair Trade France วิเคราะห์เรื่องนี้ไว้ในรายการ People & Profit (ออกอากาศวันที่ 31 ตุลาคม 2025) ภายใต้หัวข้อ “Why Fair Trade Still Matters When Coffee and Cocoa Prices Are High.” ซึ่งชี้ให้เห็นว่า แม้ราคาตลาดจะดีดตัวสูงขึ้น แต่ระบบการค้าที่เป็นธรรม (Fair Trade) ยังคงมีบทบาทสำคัญในฐานะ “ตาข่ายนิรภัยทางเศรษฐกิจ” ที่จะช่วยให้เกษตรกรยังคงอยู่รอดได้ท่ามกลางความผันผวนและต้นทุนที่เพิ่มขึ้น


ในตลาดโลก ราคากาแฟสารอาราบิกาในตลาดนิวยอร์กแตะระดับ 9 -10 ดอลลาร์ต่อกิโลกรัม (ประมาณ 300 -400 บาทต่อกิโลกรัม) ส่วนโรบัสตาในตลาดลอนดอนก็เพิ่มขึ้นกว่า 60% ภายในหนึ่งปี ซึ่งเป็นระดับที่ผู้ค้าส่งและบริษัทรายใหญ่พากันมองว่าเป็นปีทองของกาแฟ


ree

แต่ในทางกลับกัน เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟจำนวนมากกลับบอกว่าต้นทุนสูงกว่าเดิม ทั้งค่าปุ๋ยและค่าแรง ในหลายประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 40–50% จากปีก่อนหน้า ยังไม่นับภัยแล้งและฝนที่ไม่สม่ำเสมอ เช่นในประเทศโคลอมเบีย เอธิโอเปีย และเวียดนาม ที่ทำให้ผลผลิตลดลง กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ราคาขึ้น แต่กำไรกลับไม่เพิ่ม


Jérôme Delmas ให้สัมภาษณ์กับ France 24 ว่า “ราคาที่สูงในตลาด ไม่ได้แปลว่าเกษตรกรจะมั่นคงเสมอไป เมื่อค่าปุ๋ยและความเสี่ยงจากสภาพอากาศเพิ่มขึ้น ราคาขั้นต่ำของระบบ Fair Trade จึงยังเป็นตาข่ายนิรภัยที่ช่วยคุ้มครองรายได้ของพวกเขา”


Fair Trade จึงทำหน้าที่เป็น “ระบบประกันราคาขั้นต่ำ” ที่ผู้ซื้อในระบบจะต้องจ่ายให้เกษตรกรเสมอ แม้ว่าราคาตลาดจะตกต่ำก็ตาม และสำหรับผู้ผลิตจำนวนมาก ราคาที่สูงก็ไม่ได้กลายเป็นรายได้ที่ดีขึ้นในครัวเรือน เพราะห่วงโซ่อุปทานของกาแฟยังคงมีความซับซ้อน ตั้งแต่ผู้เก็บผลเชอร์รี ผู้รวบรวม ผู้แปรรูป ผู้ส่งออก ไปจนถึงผู้ค้าส่งและโรงคั่วรายใหญ่


ข้อมูลจาก International Coffee Organization (ICO) ระบุว่า ในกาแฟหนึ่งแก้วที่ขายอยู่ที่ 150 บาท เกษตรกรจะได้รับเพียง 7–10 บาทเท่านั้น ส่วนที่เหลือคือเป็นค่าแปรรูป ค่าขนส่ง ภาษี และกำไรของผู้ค้าปลายทาง


ในประเทศโคลอมเบีย นิการากัว และเอธิโอเปีย ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตกาแฟในระบบ Fair Trade มานาน สหกรณ์ที่อยู่ในระบบรายงานว่า มีรายได้มั่นคงกว่าผู้ปลูกทั่วไปถึง 30 – 40% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ตัวอย่างเช่น สหกรณ์กาแฟในเอธิโอเปียได้นำรายได้ส่วนหนึ่งจากผู้ซื้อที่ต้องจ่ายเพิ่มเติมจากราคาขั้นต่ำ (Fair Trade Premium) มาลงทุนสร้างโรงแปรรูปแบบรวมศูนย์ เพื่อให้สมาชิกขายกาแฟตรงกับโรงคั่วในยุโรปได้โดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง ในขณะที่ในนิการากัว ใช้เงิน Fair Trade Premium ในการพัฒนาโปรแกรมฝึกเยาวชนรุ่นใหม่ให้เป็น “ผู้แปรรูปในท้องถิ่น” ซึ่งทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า Fair Trade ไม่ได้เป็นเพียง “การจ่ายราคาเพิ่ม”แต่เป็นระบบที่ช่วยสร้าง ความสามารถในการพึ่งพาตนเองของชุมชนกาแฟได้อย่างยั่งยืน

สำหรับประเทศไทยเอง ถึงแม้ว่ายังไม่มีการรับรอง Fair Trade ในระดับกว้าง แต่หลักคิดของระบบนี้ ก็กำลังเริ่มปรากฏในรูปแบบอื่นที่แตกต่างกัน เช่น การค้าตรงระหว่างเกษตรกรกับโรงคั่ว การกำหนดราคาตามคุณภาพ และการส่งเสริมสหกรณ์กาแฟระดับจังหวัด


ree

ในปีนี้ 2568/2569 ราคาผลเชอร์รีอาราบิกาในตลาดรับซื้อของภาคเหนืออยู่ที่ 25–35 บาท/กิโลกรัม ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่สูงเมื่อเทียบกับอดีตที่ผ่านมา แต่ก็ยังไม่แน่นอนแบบ 100% เพราะมีปัจจัยที่ขึ้นอยู่กับผู้รับซื้อรายย่อยอยู่อีก แต่หากประเทศไทยสามารถสร้างกลไกรับประกันราคาขั้นต่ำและหรือประกันราคาพรีเมียมกับสินค้าที่มีคุณภาพได้ ก็จะช่วยให้เกษตรกรมีเสถียรภาพมากขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งพาความผันผวนของตลาดโลกเพียงอย่างเดียว


ราคาที่สูงอาจสร้างแรงจูงใจให้ผลิตมากขึ้น แต่ความยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกคนในห่วงโซ่ได้รับส่วนแบ่งอย่างเป็นธรรมระบบ Fair Trade ยังคงมีความหมายในยุคที่โลกกาแฟเติบโต เพราะมันไม่ได้เป็นเพียงระบบราคา แต่เป็นแนวทางที่ให้ “เวลาและศักดิ์ศรี” กลับคืนสู่ผู้ปลูกกาแฟ เพื่อให้พวกเขาวางแผนอนาคตของตนเองได้อย่างมั่นคง โดยไม่ต้องรอการอยู่รอดจากฤดูเก็บเกี่ยวหนึ่งไปสู่อีกฤดูเก็บเกี่ยวถัดไป และนั่นคือเหตุผลว่า แม้ในวันที่ราคากาแฟสูงสุดในรอบทศวรรษ “Fair Trade” ก็ยังไม่หมดความจำเป็นไปได้เลย


-----


ข้อมูลอ้างอิง

  • France 24 (2025). Why Fair Trade Still Matters When Coffee and Cocoa Prices Are High. (Jason Archie-Acheampong, interview with Jérôme Delmas, Fair Trade France)

  • Fairtrade International (2024). Impact Report on Coffee & Cocoa Farmers.

  • International Coffee Organization (2025). World Coffee Market Review.



เป็นนิตยสารรายสองเดือน ที่จัดพิมพ์ขึ้นเพื่อเป็นการส่งผ่านความรู้ทางด้านกาแฟ

และเสริมมุมความคิดในด้านธุรกิจกาแฟ

- - -

Facebook : Coffee Traveler

Youtube : Coffee Traveler

Comments


bottom of page