top of page

อรัญ เอเวอรี่ / Arun Avery

ผู้ชายคนนี้ออกตัวว่า อยากให้วันหนึ่งพืชกัญชาในประเทศไทย จะเป็นเพียงต้นไม้ธรรมดาๆ ต้นหนึ่ง ที่ปลูกอยู่ทั่วไปในประเทศไทยได้อย่างเสรีและไม่เป็นพืชที่อยู่ในบัญชียาเสพติดอีกต่อไป เป็นพืชที่ทุกคนใช้ได้เป็นปกติ ในความคิดของเรา ผู้ชายคนนี้คงหวังว่าสักวันหนึ่ง ต้นกัญชาควรจะเหมือนต้นกะเพราที่เราจะเห็นได้ทั่วไปตามท้ายสวน ท้ายนา ขึ้นอยู่ตามริมรั้ว แบบที่เราเห็นกันชินตา


เขาเคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ในสื่อออนไลน์แห่งหนึ่งว่า “บริบทของการใช้กัญชายังค่อนข้างแคบ ผมอยากจะเปิดให้มันมากขึ้น อยากให้คนที่จำเป็นที่จะต้องใช้มันได้เข้าถึงมัน คนที่อยากผ่อนคลายได้ใช้มัน คนที่อยากกินมันก็ได้ใช้มัน คนที่อยากสร้างอาชีพก็ได้ใช้มัน และสุดท้าย เราก็อยากเห็นกัญชาเป็นแค่พืชชนิดหนึ่งที่อยู่กับสังคมเราเป็นเรื่องปกติ”


เขาเป็นคนรุ่นใหม่คนหนึ่งที่กำลังเป็นตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อน

ให้กัญชากลับมาเป็นเพียงพืชพื้นถิ่นธรรมดาๆ ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงมันได้



อรัญ เอเวอรี่ หรือแม็กซ์ เขาเป็นคนรุ่นใหม่คนหนึ่งที่กำลังเป็นตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนให้กัญชากลับมาเป็นเพียงพืชพื้นถิ่นธรรมดาๆ ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงมันได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ เหมือนในอดีตก่อนที่กัญชาจะถูกประกาศให้เป็นพืชเสพติด จากเดิมที่แม็กซ์เตรียมตัวจะไปเรียนวิศวกรรมไฟฟ้าที่ประเทศแคนาดา แต่ด้วยความป่วยไข้ของร่างกาย หรือจะเป็นเพราะโชคชะตานำพาให้เขาเข้ามาทำความรู้จักกับสมุนไพรต่างๆ เช่น ฟ้าทะลายโจร จนมาถึงพืชสมุนไพรอย่างกัญชา ด้วยความสนใจ มันทำให้เขาเข้าถึงข้อมูลของมันมากยิ่งขึ้น จากกัญชาสามารถใช้รักษาโรคได้ และสายพันธุ์กัญชาที่ดีที่สุดในโลกก็คือสายพันธุ์ที่มีอยู่ในประเทศไทย และเมื่อศึกษาลงลึกไปมากกว่านั้น มันทำให้แม็กซ์สนใจในพืชสมุนไพรโดยเฉพาะกัญชามากยิ่งขึ้นไปอีก จนเขาเปลี่ยนแผนชีวิต จากที่วางแผนว่าจะเรียนทางด้านวิศวกรรมไฟฟ้าเป็นมาเรียนทางด้านแพทย์และพฤกษศาสตร์แทน เพื่อที่จะทำวิจัยเกี่ยวกับสมุนไพรกับร่างกายมนุษย์ต่อไป ซึ่งอยู่ในแผนของแพทย์ปัจจุบัน แม็กซ์ต้องการให้งานวิจัยได้ตีพิมพ์ในต่างประเทศ เพื่อทำให้สมุนไพรไทยเป็นที่รู้จักต่อชาวโลก แต่เมื่ออาการข้างเคียงของร่างกายจากความเจ็บป่วยมาเป็นอุปสรรค แม็กซ์จึงตัดสินใจกลับมาพักการเรียนอยู่ที่ไทย จนได้กลายมาเป็นสื่อคนหนึ่งที่ผลิตคอนเทนต์ให้ความรู้เรื่องกัญชาในชื่อเพจ “กัญชาชน” เป็นหุ้นส่วนของคาเฟ่ “HIGHLAND CAFÉ” ที่เป็นแหล่งพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ ข้อมูลข่าวสาร (ความรู้อย่างเดียวจริงๆ ) ในเรื่องกัญชาของเหล่ากัญชาชน และเป็นกรรมการ – ผู้จัดการโรงเรือนโครงการปลูกกัญชาเพื่อพัฒนาตำรับยารักษาโรค กรณีจำเป็นสำหรับผู้ป่วยเฉพาะรายในโรงพยาบาลมะเร็ง อุดรธานี



“ตอนผมไปเรียนอยู่ที่แคนนาดา กัญชามันเป็นเรื่องปกติ ถึงแม้ว่าตอนที่ผมไปเรียนมันยังไม่ถูกกฎหมายในเชิงสถานการณ์ ซึ่งในปัจจุบันมันถูกแล้วนะครับ ถูกไปตั้งแต่ 4 ปีที่แล้ว มันถูกพูดถึงเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้ในเชิงสันทนาการ การใช้ในการรักษา หรือแม้กระทั่งงานวิจัย คือมันถูกพูดกันเป็นเรื่องปกติ ซึ่งหลังจากรับรู้ข้อมูลพวกนั้นหมดแล้ว พอกลับมาเมืองไทย ยังเห็นว่ากัญชามันเป็นปัญหาอยู่ ซึ่งผมก็รับรู้มาตลอดว่ากัญชาพันธุ์ไทยดีที่สุดในโลก นี่คือคำพูดของคนที่นั่นนะ กัญชาที่ดี ๆ ทุกวันนี้ที่เรามีสูบกันอยู่ที่โน่น ก็คือมีที่มา มีต้นตำหรับมาจากสายพันธุ์ไทย ก่อนที่เขาจะเอาพันธุ์โน้นพันธุ์นี้มาผสมกัน พันธุ์ไทยก็ถูกผสมออกมาเป็นสายพันธุ์ต่างๆ ที่เรามีใช้กันอยู่ในทุกวันนี้ อันนี้หมายถึงที่เมืองนอกนะครับ ซึ่งพอมาเห็นว่าเมืองไทยไม่ถูกกฎหมาย มันก็แบบมันใช่เรื่องเหรอ ทั้งๆ ที่มันเป็นพืชพื้นเมืองบ้านเรา เรามีวัฒนธรรมของเรามาก่อนในการนำมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องนุ่งห่มหรือเป็นยา หรือจะเพื่อการเสพสันทนาการก็ตาม มันก็เลยกลายเป็นว่ามันไม่มีอะไร make sense ดูไม่สมเหตุสมผล


สายพันธุ์ดังๆ หลายสายพันธุ์ทั่วโลก เช่น Jack Herer, White Gelato หลักๆ 2 พันธุ์นี้ แล้วก็พวกตระกูล Haze ทั้งหลาย สายพันธุ์พวกนี้ต้นทางหลัก ๆ คือมาจากพันธุ์ไทย sativa อย่างน้อยก็โซนบ้านเรา ถ้าไม่ใช่ของไทยก็โซนบ้านเรา ซึ่งพวกนี้บางตัวก็กลายเป็นสายพันธุ์ในตำนานไปแล้ว คือมันเด่นในทางของเขา โดยที่ไม่มีใครสามารถไปเปรียบเทียบได้ ถามว่าดีที่สุดในโลกหรือไม่ ณ ปัจจุบัน มันใช้นิยามนี้มันไม่ถูกต้องแล้วครับ คือดีที่สุดในรูปแบบไหน ในรูปแบบยา ยารักษาอะไร ใช้ในการเสพเพื่อสันทนาการ เช่น บางคนอยากได้ผ่อนคลายสบายๆ ไม่ต้องคิดมาก บางคนอยากได้ผ่อนคลายแบบสงบในเวลาเดียวกัน นิยามของคำว่าดีที่สุดของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน ตามบริบทที่เขาต้องการที่จะใช้”

เมื่อประมาณ 7 ปีที่แล้ว ผู้ใหญ่ในบ้านเราบอกเขาว่ามันเป็นยาเสพติด

มันทำให้คนบ้า แต่แม็กซ์บอกว่างานวิจัยตรงกันข้ามกับสิ่งที่ผู้ใหญ่ในบ้านเราบอก


แม็กซ์บอกว่าสิ่งที่มันกำลังเป็นอยู่ในประเทศไทย ในเรื่องของการใช้กัญชานั้น มันดูไม่มีอะไรสมเหตุสมผลเลย ทั้งๆ ที่ข้อมูลทุกอย่างมันอ้างอิงตรงกันข้ามหมด ในช่วงยุคแรกๆ เมื่อประมาณ 7 ปีที่แล้ว ผู้ใหญ่ในบ้านเราบอกเขาว่ามันเป็นยาเสพติด มันทำให้คนบ้า แต่แม็กซ์บอกว่างานวิจัยตรงกันข้ามกับสิ่งที่ผู้ใหญ่ในบ้านเราบอก แม้กระทั่งบางงานวิจัยที่บอกว่า คนที่ใช้บางกลุ่มโรค เช่น โรคซึมเศร้า กลุ่มโรค Schizophrenia (สคิซโซฟรีเนีย) หรือจิตเภท ถ้าใช้กัญชาควบคู่ไปกับการพบจิตแพทย์ มันก็สามารถช่วยผู้ป่วยได้จริงๆ


แม็กซ์ใช้วิธีค่อยๆ คุยกับผู้ใหญ่ไปทีละกลุ่ม ส่งเป็นจดหมายบ้าง เข้าร่วมวงประชุม ผลิตคอนเทนต์ให้ความรู้เรื่องกัญชาไม่ว่าจะเป็นการเขียนหรือคอนเทนต์วีดีโอ จนผู้ใหญ่เห็นว่าเขารู้เรื่องกัญชาดีคนหนึ่ง และยังมี passion ในเรื่องกัญชามาก ก็เลยให้มาช่วยดูโครงการวิจัยให้กับโรงพยาบาลมะเร็ง จังหวัดอุดรธานี วิจัยมะเร็งตับและท่อน้ำดี ด้วยน้ำมันสนั่นไตรภพ ซึ่งหนึ่งในส่วนประกอบก็คือกัญชา ซึ่งเป็นหนึ่งในตำหรับยาที่ได้รับอนุญาต และเขียนงานวิจัยออกมาเพื่อตีพิมพ์



“ถ้าเปรียบเทียบโดยสัดส่วนแล้วข้อดีของกัญชาจะมากกว่าข้อเสียประมาณร้อยละ 95 เป็นอย่างต่ำ ข้อเสียประมาณ 5% ซึ่งมีอะไรบ้าง คือมีความเป็นไปได้ที่จะทำให้เกิดภาวะทางจิต อย่างที่ผมยกตัวอย่างรุ่นพี่ผมคนหนึ่งขึ้นมา ที่ใช้มากเกินไป ถ้าเกิดใช้ไม่ถูกต้อง ต้องวงเล็บนะครับ คนที่มีโรคทางหัวใจ โรคหัวใจ หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมลูก คนที่มีภาวะความเสี่ยงทางจิต หรือว่าคนที่ใช้ยาบางประเภทอยู่ รักษากลุ่มโรคบางประเภทอยู่ ซึ่งกัญชาอาจจะไปหักลบเสริมกลุ่มยาบางกลุ่มซึ่งอาจจะทำให้เกิดอาการไม่พึ่งประสงค์กับการรักษานั้นได้ แต่หลักๆ ของข้อเสียของกัญชาคือบริษัทยาไม่ได้กำไร ผมขอยกตัวอย่างสุดท้าย อย. (องค์การอาหารและยา) ตอนแรกจะไม่ให้กัญชาถูกกฎหมายมาถึงระดับนี้ด้วยซ้ำ ก็เขาเล็งว่าจะเอายากัญชาสกัดแบบเชิงเดี่ยวสำเร็จรูปจากเมืองนอกมาขายแทน ก็เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่เราเห็นความคิดความอ่านเขาก็เลยแบบอย่าเลยหยุดทำได้แล้ว เราก็ใช้สังคมเป็นอาวุธแทน”


ตอนแรกจะไม่ให้กัญชาถูกกฎหมายมาถึงระดับนี้ด้วยซ้ำ ก็เขาเล็งว่า

จะเอายากัญชาสกัดแบบเชิงเดี่ยวสำเร็จรูปจากเมืองนอกมาขายแทน


แม็กซ์บอกว่าภาครัฐฯ ต้องให้ความรู้กับประชาชนว่ากัญชามีประโยชน์และมีโทษอย่างไร คือการให้อาวุธติดตัวประชาชนให้เขาสามารถไประมัดระวังกับตัวเองได้เหมือนการรณรงค์ไม่สนับสนุนให้เด็กๆ ดื่มเหล้าสูบบุหรี่ สังคมก็ควรรณรงค์เหมือนกัน เพราะสุดท้ายแล้วแม็กซ์มองว่ากัญชาควรจะให้ใช้เป็นยาที่ไม่ต้องไปผ่านกระบวนการมากมายเหมือนที่ภาครัฐฯ กำลังพยายามบังคับอยู่ เพียงแต่ต้องพยายามสร้างช่องทาง สร้างกรอบของความเป็นมาตรฐาน ควรพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ร้านค้า ให้คนหมู่มากได้ซื้อตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป คือมันควรจะมีมาตรฐานระดับหนึ่ง เพื่อผู้ใช้ทั่วไป ประชาชนทั่วไป


“ชาวบ้านเขารู้จักพืชกัญชามานานแล้ว ยิ่งโดยเฉพาะกลุ่มชนบทที่เขามีใช้มาตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นย่ารุ่นทวด เขาก็ใช้เป็นกันอยู่แล้ว เขาเอามาต้มไก่ หมอแผนไทยเขาก็สามารถที่จะเอามาทำยาแบบพื้นฐานได้ เอามาสกัดน้ำมันบ้าง เอามาต้มดื่มเป็นชาบ้าง เขาไม่ได้ใช้ใบแล้ว เขาใช้ดอกเพื่อต้องการฤทธิ์ที่มันมากขึ้น บางทีมันไม่ใช่วิทยาศาสตร์ที่คุณต้องมีความรู้พื้นฐานระดับหนึ่งถึงจะไปทำงานได้ แต่มันเป็นความรู้ที่คนทั่วไปสามารถใช้ได้อย่างปกติ ถามว่าจำเป็นต้องไปปลูกแบบโรงเรือนระบบปิดหรือไม่ เพื่อที่จะนำมาใช้ในการรักษาตัวเอง ไม่ เพียงแต่ว่าการปลูกในโรงเรือนเพื่อที่จะเอาไปผลิตยาที่มันสะอาด ประชาชนที่ใช้หมดห่วงว่าจะไม่มีสารตกค้างหรือมีโรคหรือมีเชื้อราอะไรติดมา มันก็สมควร เหมือนผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่เรามีกินมีใช้ในทุกวันนี้ครับ”


แม็กซ์ยังมองว่าการปลดล็อคการใช้กัญชาในบ้านเรา จะผ่านไปถึงจุดเสรีขนาดใช้ดอกมาผสมในอาหารได้ และใช้เพื่อการสันทนาการได้ ซึ่งเราเองมองว่าหนทางนี้ยังดูอีกยาวไกล แต่สำหรับผู้ชายคนนี้ ที่คลุกคลีอยู่ในวงการกัญาชากลับมองอีกแบบ


“ผมว่า 100% ครับ คำถามแค่เมื่อไหร่เท่านั้นเอง เพราะว่าการที่รัฐบาลจะมาล็อคให้ประเทศไทยไม่สามารถใช้กัญชาอย่างนั้นได้ ก็เหมือนกับเรามีทะเลสวยงาม หาดสีขาวสวยงาม แต่เราห้ามคนไปเที่ยว เพราะว่ากลัวคนผิวไหม้แดด หรือว่าทรายเข้าตูด จะไปห้ามเขาทำไม เดี๋ยวเขาก็จัดการตัวเขาเอง คือเขาก็รู้ดีด้วยว่าถ้าทำให้กัญชาถูกกฎหมายไปถึงขนาดนั้นมันจะเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจชั้นดีเลย หนึ่งคือเพราะคนในประเทศก็รู้อยู่แล้วว่าต้องใช้อย่างไร คนที่ใช้เป็นอยู่แล้วก็รู้ว่าใช้อย่างไร ขอให้มีให้เขาใช้ เขาใช้เป็นระเบียบแน่นอนครับ สองคือกลุ่มนักท่องเที่ยว กลุ่มนักท่องเที่ยวมาประเทศไทยมี 2 ประเภท คือเที่ยวเพื่ออยู่และเที่ยวชั่วคราว เที่ยวชั่วคราวก็แตกยอดไปอีก เที่ยวเพื่อพักผ่อนหรือเที่ยวเพื่อการรักษา เพราะรัฐฯ ก็มียากัญชาระดับหนึ่งแต่ยังไม่ถึงจุดที่เมืองนอกเขาไปกันแล้ว แล้วเมืองไทยก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น แค่คุณจะอนุญาตหรือไม่แค่นั้นเอง


การที่รัฐบาลจะมาล็อคให้ประเทศไทยไม่สามารถใช้กัญชาอย่างนั้นได้

ก็เหมือนกับเรามีทะเลสวยงาม หาดสีขาวสวยงาม แต่เราห้ามคนไปเที่ยว

เพราะว่ากลัวคนผิวไหม้แดด หรือว่าทรายเข้าตูด

จะไปห้ามเขาทำไม เดี๋ยวเขาก็จัดการตัวเขาเอง


ย้อนกลับไปที่เรื่องการท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อน เขามาเขาก็มากินเหล้าสูบบุหรี่ ถ้าเกิดเป็นสายเขียว เขาก็จะไปหาจนเจอเอง ผีเจอผีเดี๋ยวเขาคุยกันรู้เรื่องเขาก็หากันจนเจอ ซึ่งคนที่ใช้กัญชามันก็มี แล้วคุณจะไปห้ามเขาทำไม เพราะประเทศไทยยังไงก็เป็นประเทศที่เขามาพักผ่อน หรือแม้กระทั่งมาใช้ชีวิตในช่วงสั้น ๆ ถ้าเกิดคนที่ใช้เขาหาใช้แน่นอน แล้วยิ่งโดยเฉพาะถ้าพูดถึงกลุ่มเกษียณเขายิ่งอยากจะใช้ เพราะเขาเป็นคนที่ผ่านยุค 60 70 มา ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใช้กันมาก เขามาอยู่เมืองไทยเขาหาใช้แน่นอน ถ้าประเทศไทยเปิดถึงขนาดนั้นฝรั่งยิ่งจะมา ยกตัวอย่างที่อัมเตอร์ดัม เขาไปเพื่อนั่งเสพของพวกนี้กันเพราะมันเสพได้ ไปดูวัฒนธรรมตรงนั้น ไปสนุกกับตรงนั้น เราแค่ให้อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดเท่านั้นเอง ไม่ได้เกี่ยวกับการพยายามจะสนับสนุนให้สังคมเสพติดมากขึ้น เราแค่เอาผลิตภัณฑ์หนึ่งเข้าสู่สังคม โดยที่จะไปกระตุ้นให้เม็ดเงินส่วนนั้นที่มันหายไปมีภาษีให้มันเข้ามาอยู่ในระบบ ตัวเลข GDP จะได้สูงขึ้น ภาษีเก็บได้มากขึ้น”


เหตุผลของภาครัฐฯ ที่ไม่ยอมเปิดเสรีการใช้กัญชาแบบที่แม็กซ์ต้องการ แม็กซ์บอกว่า ภาครัฐฯ มองไปที่กลุ่มวัยรุ่นซึ่งเป็นหัวใจหลักของเหตุผลในการคัดค้านสิ่งนี้ ซึ่งนอกจากกลุ่มวัยรุ่นแล้ว ยังมีกลุ่มแรงงาน ที่ภาครัฐฯ มองเรื่องคุณภาพ แรงงาน สังคม และทรัพยากรมนุษย์มันจะแย่ลง


“เขามองว่าคุณภาพของทรัพยากรมนุษย์ของสังคมไทยมันจะแย่ลง

เพราะคนจะขี้เกียจมากขึ้น เขาใช้คำแบบนี้เลยครับ”



เราเลยยิงคำถามสวนไปว่าแล้วประเทศที่เขาเปิดเสรีการใช้กัญชาหลายๆ ประเทศ แล้วคนในประเทศเขาเป็นแบบที่ผู้ใหญ่ในบ้านเราให้เหตุผลในการห้ามใช้เป็นแบบนั้นจริงหรือไม่


“ประเทศเขายิ่งมีความสุขมากขึ้น อย่างเช่นประเทศแคนนาดาที่เขาใช้กันอยู่ คนใช้ก็ใช้ไป คนไม่ใช้ก็เป็นปกติไม่ใช้ พอมันถูกกฎหมายก็ใช้โดยที่ไม่ต้องมาหลบๆ ซ่อนๆ ลดภาวะอาชญากรรมในสังคม ลดงบประมาณในเรื่องการจับกุมชาวบ้านอย่างไม่มีเหตุผล ลดปัญหาการเสื่อมสภาพของสังคมโดยรวม


ผมอยากเห็นกัญชาในเชิงสถานการณ์ได้เหมือนเหล้า เหมือนบุหรี่ คือคุณใช้ได้ แต่คุณก็ต้องควบคุมระดับหนึ่งไม่ว่าจะเป็นเรื่องอายุหรือเรื่องสถานที่ ถึงแม้ว่าประโยชน์ของกัญชาจะมากก็จริง แต่มันก็ไม่ใช่ทุกคนสามารถใช้กัญชาได้ บางทีเราแค่เอาขึ้นมาบนดิน แล้วมีมาตรการควบคุมมันอีกที”


//บทความย้อนหลัง ใน Coffee Traveler issue 54//

 

Coffee Traveler

เป็นนิตยสารรายสองเดือน ที่จัดพิมพ์ขึ้นเพื่อเป็นการส่งผ่านความรู้ทางด้านกาแฟ

และเสริมมุมความคิดในด้านธุรกิจกาแฟ

- - -

สมัครสมาชิกนิตยสารได้ที่ : IN BOX Facebook Coffee Traveler

Youtube : Coffee Traveler

119 views0 comments
bottom of page